31 พฤษภาคม 2556

เจอแล้ว! ภาษาเดียวจบ


วันนี้ผมแวะไปกินข้าวในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เจอชาวต่างชาติกับคนไทยสามารถพูดกันรู้เรื่องได้ ด้วยภาษาที่ทุกคนก็รู้จัก นั่นก็คือ "ภาษามือ" แบบว่าสุดยอดดดดด

หากมีเวลาและมีที่เรียนผมจะหาเวลาไปเรียน เพราะผมสนใจภาษามือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมสงสัยมาตลอดว่าเขาคุยอะไรกันหว่า น่าสนุกดี ผมอยากจะคุยกับเขาบ้าง ถ้าคุยภาษามือได้โลกก็คงจะกว้างขึ้นอีกเป็นแน่

แต่ผมลองมาคิดว่าถ้าทุกคนเรียนภาษามือกันหมดแม้กระทั่งประเทศอื่นๆ พวกเราก็จะสามารถคุยกันรู้เรื่องและสามารถคุยกับผู้ที่คุยได้แต่ภาษามืออย่างเดียวได้อีกด้วย ได้ทั้งเพื่อนเพิ่ม และคุยกับประเทศอื่นรู้เรื่องอีกต่างหาก  =^_^=  

เอาล่ะครับต่อไปนี้ก็เพิ่มวิชาหลักเข้ามาใหม่ให้กับคนบนโลก บอกให้เรียนภาษามือให้หมด หมดปัญหาเรื่องของภาษาจะได้ไม่ต้องมาเถียงกันว่าใช้ภาษาฉันดีกว่า ภาษานี้ดีกว่า เอาให้เป็นภาษาหลักกันไปเลยผมว่าช่วยการสื่อสารได้มากแน่ๆ เดี๋ยวนี้คุยเห็นหน้ากันผ่านโทรศัพท์ได้แล้วด้วย สามารถใช้ตอนที่เราอยู่ไกลๆกันก็ได้ แบบว่าพูดกันไม่ถึงก็ใช้ภาษามือแทนเป็นประโยชน์สุดๆ เข้าไปในที่มีเสียงดังๆ คุยภาษามือกันเป็นไง  จ๊าบบบหลาย  =^_^=  

ต่อไปเราก็คงคุยกันสะดวกมากขึ้นนะครับผม  =^_^= 

29 พฤษภาคม 2556

ความฝันสูงสุดของคนทำงานทุกคน


จะดีไหมถ้าหากคุณทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก กับสถานที่ที่ตัวเองต้องการ

นี้คือความฝันสูงสุดของคนทำงานทุกคน ปัจจุบันผู้ที่ทำงานแต่ละคนต้องทำงานกับสถานที่อึดอัด ร้อน หนาว ต่างๆนาๆ ไม่สามารถเลือกสถานที่ที่ตัวเองชอบได้ สิ่งที่ทำให้คนเราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ "จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข" เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่ทำ เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มจากสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารัก เราต้องไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆทั้งสิ้น แม้กระทั่งครอบครัว เพื่อน ญาติ ไอ้ตูบที่บ้าน หรือแม้สนามหญ้าหน้าบ้าน อิอิ

ถ้าหากคุณเป็นคนชอบบอกคนอื่นว่าผมทำงานก็เพื่อครอบครัว เพื่อสังคม อื่นๆอีกมากมาย หากเป็นอย่างนั้นคุณจะไม่มีความสุขกับงานเพราะคุณไม่ได้ทำเพื่อตัวคุณเอง เป็นความสุขชั่วคราว เดี๋ยวเดียวก็หายไป

มีคำถามใช่ไหมล่ะครับ "อ้าว แล้วอย่างนี้มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ ถ้าไม่ทำเพื่อคนที่เรารัก"
ถ้าคุณมีคำถามอย่างเช่นข้างบน คุณคงเข้าใจผิดมาตลอดเป็นแน่ =^_^= 

คนที่เรารัก เขาก็ต้องรักเรา เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความสุขเขาก็ต้องมีความสุข จะเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างไรกัน
ถ้าเขาชอบที่เราทำงานที่ทำให้เราไม่มีความสุข นั่นแหละเขาเห็นแก่ตัว หรือถ้าเราทำงานเพื่อผู้อื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเองนั้นก็เป็นการเห็นแก่ตัวเหมือนกัน เห็นแก่ตัวกับตัวเราเอง ขนาดเรายังทำให้ตัวเองมีความสุขไม่ได้ มันก็ยากที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขได้ เพราะเราไม่รู้ว่าความสุขเป็นอย่างไรนั่นเอง

ผมเชื่่อทุกสิ่งทุกอย่างหากเริ่มจากตัวเราเอง เป็นสิ่งที่ดี สร้างสรรค์ คนที่อยู่รอบข้างเราเขาต้องมีความสุขไปกับเราด้วยแน่ๆ ไม่มีใครที่เป็นคนดีทุกข์ใจเมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุขหรอกจริงไหมครับ

ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหางานที่ตัวเองทำงานแล้วมีความสุขได้ทุกคน สู้ๆครับผม

ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/BangtatenPolice

โปรดใช้วิจารณญาณในการใช้สื่อ


หากพูดถึงสื่อ ณ ปัจจุบัน มีผู้บริโภคสื่อมากขึ้นทุกวัน ปัจจัยเกิดจากการติดต่อสื่อสารปัจจุบันง่ายขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้คนหันมาสนใจเรื่องข่าวสาร เพราะฉะนั้นเราควรรู้จักการบริโภคข่าวสาร ใช้ข่าวสารให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเป็นโทษมหันเลยทีเดียว

ส่วนมากเป็นเรื่องที่ดี จากเมื่อก่อนไม่ค่อยมีใครสนใจอ่านหนังสือ ตรงนี้อาจเป็นจุดที่ดีที่ทำให้ปลูกฝังเรื่องการอ่านได้ แต่เมื่อมีเรื่องดีก็ต้องมีเรื่องร้ายด้วยเสมอ

หากคุณเป็นผู้บริโภคตัวโยง คุณจะเห็นสื่อบางสื่อทำให้ข้อมูลบิดเบือนได้ หากคุณเจอสื่อที่ทำให้มีความแตกแยก สื่อที่เป็นบ่อนทำลาย คุณควรใช้วิจารณาญาณในการตัดสินใจ

หากคุณเจอสื่อประเภทนี้ควรทำอย่างไร

  1. ไม่ควรเข้าร่วมในสื่อนั้น เพราะสื่อนั้นทำมาเพื่อสร้างความแตกแยก
  2. วิเคราะห์ว่าสื่อนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร เราจะได้ให้คำปรึกษาแก่ผู้ไม่รู้หรือเข้าร่วมได้
  3. ไม่ควรเข้าไปให้ความคิดเห็นหรือวิจารกับผู้อื่น อาจทำให้เราหัวแตกได้ =^_^= 
หากคุณเข้าใจและบริโภคสื่อเป็น รู้ว่าสื่อนี้ดีหรือไม่ดี คุณก็จะอยู่อย่างมีความสุขแล้วครับผม

ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/BangtatenPolice

27 พฤษภาคม 2556

The Lazy Song - Bruno Mars


ผมฟังเพลงนี้ทีไรรู้สึกดีทุกที เป็นกำลังใจให้ได้ตลอด เป็นอะไรที่แนวมากๆ ลุงในมิวสิคนี้แกก็กวนดี  =^_^= 

ถ้าการปรินิพพานคือความว่างเปล่า มิวสิควิดีโอตัวนี้น่าจะใกล้เคียงนะ =^_^= 

ลองคิดดูว่าถ้าคนเราไม่คิดอะไรเลย ปล่อยวาง ไม่สนในอะไร สนุกและมีความสุขกับตัวเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ปล่อยทิ้งทุกอย่าง ทำอะไรไม่ต้องแคร์ใคร ไม่สนใจแม้กระทั่งลูก เพื่อนบ้าน และเด็ก เป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว

ความรู้สึกแบบลุงแก ผมว่าเป็นตัวเอง ไม่มีอะไรที่สำคัญ ทุกอย่างไม่มีความหมาย อะไรจะเป็นยังไงใช้ยังไงสำคัญยังไงไม่สนใจ =^_^=  ไม่ต้องรู้จักอะไรทั้งนั้น ปล่อยไปให้หมด อยากทำอะไรก็ทำ(แต่ทำในสิ่งที่ถูกนะ)

หากคุณต้องการปรินิพพาน เรื่องที่คุณคิด ทำ ทุกอย่างไม่มีความหมายอะไรเลย

ทำได้สักครึ่งของลุงแกได้ก็สุดยอดแล้ววววววววว

กินอะไรดี?

เป็นปัญหาระดับประเทศก็ว่าได้ =^_^=  ส่วนมากเวลาพักเที่ยงเราต้องกินข้าว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราจะกินอะไรกันดี เพราะว่ามันก็มีแต่เดิมๆ น่าเบื่อ จากนั้นจะมีคำตอบกลับมาว่า เออ แล้วเราจะกินอะไรกันดี เฮ้ย เองจะกินอะไร กว่าจะได้บทสรุปก็พักใหญ๋เอาการ และก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งไป

หรือบางคนบอก "อยากกินอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ว่ะ" ทีนี้ล่ะปัญหาเกิด ตูจะไปหาอะไรใหม่ๆ แปลกๆ ได้ที่ไหนได้อ่ะ แถวนี้มันก็มีแค่นี้แหละ สุดท้ายก็ไปกินร้านเดิม =^_^= 

แล้วถามว่าเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรล่ะ
อืม.................................. เอาอย่างนี้ล่ะกัน
คุณทำอย่างไรเวลาคุณเบื่องาน ก็ทำไปแบบนั้นแหละครับ =^_^= 

5 วิธีเคลียร์ตารางงานให้อยู่หมัด

ปกติเป็นประจำทุกวันตอนผมไปทำงาน ผมจะตื่นแต่เช้าไปเอาหนังสือพิมพ์ฟรีของ M2F (ของฟรี แถมฝึกให้เราเป็นคนตื่นเช้าด้วย 2in1 ชัดๆ) ผมชอบอ่าน working hours ของหนังสือพิมพ์นี้มากๆ ผมสะสมตัดเก็บไว้เฉพาะหน้านี้เอาไว้เลย
หากวันไหนไปสาย จุดที่รับทุกวันหมดก่อน ผมจะเดินวนไปรับจากจุดอื่นเพื่อให้ได้หนังสือผมให้ได้ สู้คร๊าบบบบ

working hours เป็นหัวข้อที่เขียนถึงคนรวยระดับโลก
หากเราต้องการเป็นแบบไหนให้ศึกษาจากบุคคลนั้น

5 วิธีเคลียร์ตารางงานให้อยู่หมัด ของเม็ก วิตแมน เจ้าแม่ไอที(จากหนังสือพิมพ์ M2F)

  1. ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด เม็ก เผยว่า จากประสบการณ์ทำงานทั้งในบริษัทเก่าและบริษัทใหม่ ทำให้เธอมองเห็นภาพว่าคนเรามีความถนัดที่แตกต่างกัน โดยอันดับแรกคือเราต้องพยายามมองภาพให้ออกว่าตัวเองเก่งทางด้านไหนเป็นพิเศษ และมีสิ่งไหนต้องปรับปรุงอีกบ้าง อีกทั้งการร่วมงานกับคนที่ถนัดในด้านที่แตกต่างออกไปก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเขาสามารถให้คำแนะนำได้ และผลของงานก็จะออกมาลงตัวมากที่สุด
  2. จดรายการสิ่งที่ต้องทำ ก่อนจะจรดปากกาลงปฏิทินให้เรียงลำดับก่อนว่ายังมีสิ่งไหนที่ตกค้างอีกบ้าง ลองทบทวนว่ามีเรื่องสำคัญอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และอย่าปล่อยให้เรื่องสำคัญในอดีตมันผ่านไป เพราะเรื่องใหม่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว การเขียนรายการจะช่วยกำหนดตารางชีวิตได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งหากทำเป็นนิสัยจะเป็นผลดีและย่นเวลาในการบริหารงานได้เยอะมาก
  3. อย่าจมปลักกับปัญหา เมื่อปัญหาเรื่องงานมาประดับหน้า และบางเรื่องก็ไม่ถนัดหรือว่าไม่มีความรู้ในส่วนนี้เลยอย่าปล่อยให้ปัญหามันค้างเติ่ง และคิดว่าตนเองเท่านั้จะเป็นผู้แก้ไข เพราะแทนที่จะเสียเวลาจมอยู่กับปัญหานานถึง 5 ชม. แต่ก็ควรปรับเปลี่ยนเป็นการให้ทุกคนในทีมระดมสมอง พร้อมกับหยิบยื่นงานให้กับคนที่มีความถนัดทำงานเสียดีกว่า
  4. จัดการประชุมให้อยู่หมัด ตารางงานปกติของคนในบริษัทก็คือ 9 โมงเช้าถึง 6 เย็นเท่านั้น เวลานี้เป็นเวลางานซึ่งทุกคนพร้อมทำงานและอยู่ในบริษัท เม็ก แนะว่าควรจัดการประชุมให้เสร็จสรรพทันเวลา อย่าให้เกิดการประชุมนอกเรื่องไปจากตัวงานเสียเปล่าๆ
  5. ชั่งใจว่าสิ่งใดถูกและผิด ในการบริหารงานมักเกิดคำถามบ่อยมากว่า อะไรคือสิ่งที่เราต้องการวัดค่าความสำคัญมากที่สุด เช่น ความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อบริษัท การเปิดตัวสินค้าที่ตรงเวลา หรือเรื่องค่าใช้จ่ายทางด้านส่วนของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์โดยการเรียงลำดับและวัดความสำคัญของเรื่องจะทำให้ผู้บริหารมองแผนที่บอกทิศทางบริษัทว่าต้องเดินไปทางไหน

โรงเรียนของผม ความคิดของใคร


ตั้งแต่เด็กจนเรียนจบการศึกษา ผมสงสัยมาตลอดว่าเรียนหนังสือทำไม เรียนแล้วได้อะไร น่าเบื่อ ไปเพราะมีเพื่อน ไปเล่นกับเพื่อนที่โรงเรียน =^_^=  ส่วนเรื่องเรียนผมนะเหรอไม่ต้องพูดถึงกากมาก  เวลาตอบคำถามครูผิดก็โดนตี ใครอยากจะโดนตีให้เจ็บ เรียนเพื่อให้โดนตีน่ะเหรอ แถมให้ทำไม้เรียวไปให้อีกครูตีอีก เพราะว่าไม้เรียวพังบ่อย ตีเด็กบ่อยประมาณนั้น
แต่ผมก็เรียนเพราะทุกคนเขาเรียนกัน และผู้ปกครองก็บอกเสมอว่าเรียนให้สูงๆ แล้วจะได้ดี(ได้ดีมันเป็นยังไงหว่า ได้เงินเดือนเยอะๆ เงินเยอะหมายถึงดีเหรอ =^_^= ) เริ่มเอาความคิดมาใส่หัวเรา จนเหมือนว่าเราต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้นะไม่อย่างนั้นผิด) ผมจะมีปัญหากับคนอื่นๆเสมอเรื่องความคิด

จากภาพด้านบนผมว่าหมายถึงกรอบความคิด เมื่อเราเป็นเด็กเรามีไอเดียที่สร้างสรรค์ มีจิตนาการ เปิดรับพร้อมเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง สนุกกับสิ่งต่างๆ แต่พอเข้าโรงเรียน กรอบความคิดโดนใส่กรอบ จิตนาการเปลี่ยนไป ไอเดียสร้างสรรค์หายไป คล้ายๆกับผู้ใหญ่ที่ชอบเอาความคิดมาใส่จนความจริงถูกบิดเบือน สิ่งสร้างสรรค์หายไป

สำหรับผมตอนนี้จะให้โทษผู้ใหญ่ ครู ผู้ปกครอง หรืออะไรไปก็เท่านั้น อนาคตก็ไม่อาจเปลี่ยนได้ เราต้องเปลี่ยนจากตัวเราเองเท่านั้น เริ่มจากเรา เริ่มจากคนสมัยใหม่ นี่คือสิ่งที่เป็นจริง ใครจะไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ที่สร้างต่อๆกันมาได้ นอกจากจะสร้างขึ้นมาใหม่เท่านั้น

คุณล่ะกรอบความคิดเป็นแบบไหน?

ภาพจาก https://www.facebook.com/kamonchanok.parnjai

25 พฤษภาคม 2556

สุดยอด วันอรุณ

วันนี้ผมได้ไปเที่ยวที่วัดอรุณชื่อเต็ม วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร เรียกยากจริงแฮะ =^_^=  ผมไปเพราะว่าเป็นวันเกิดแฟนผมเอง พอดีเราตกลงกันว่าจะไปวัดไปไหว้พระในวันเกิด ซึ่งตอนแรกตั้งใจไปวัดระฆังชื่อเต็มว่า วัดระฆังโฆสิตาราม แต่หลังจากไหว้พระที่วัดระฆังเสร็จ เดินไปที่ท่าเรือของวัดจะมีการให้อาหารปลา ปล่อยสัตย์น้ำต่างๆมากมาย ตรงบริเวรท่าน้ำก็จะมีการให้บริการเรือไปวัดอื่นด้วย เราจึงตัดสินใจไปวันอื่นต่อ ซึ่งวัดที่เราจะไปต่อก็คือวัดอรุณนั่นเอง

เรานั่งเรือจากวัดระฆังใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงวัดอรุณแล้วครับ พอเห็นวัดอรุณซึ่งเป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ แบบว่ามันสุดยอดดดดด เป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยมาก สุดจะบรรยาย พอเรือจอดเทียบท่าที่วัดอรุณเราก็รีบเข้าไปถ่ายรูป มีชาวต่างประเทศมาเที่ยวมากมาย มีชุดไทยต่างๆให้ใส่ถ่ายรูป(แต่เราไม่ได้ใช้บริการหรอก  =^_^= ) มีรูปปั้นยักษ์ ตัวใหญ่ และสถาปัตยกรรมอีกมากมาย แต่ที่เด่นๆคือ พระพุทธปรางค์ ซึ่งหากมองไกลๆจะเด่นสุด =^_^=  (เอาง่ายๆอย่างนี้แหละ) ซึ่งมีบรรได 2 ขั้น ไม่นับจากฐาน หากขึ้นไปถึงขั้นสุดท้ายซึ่งบรรไดชันมากๆ แต่ข้างบนสวยมากกว่า คุณจะรู้สึกแบบผมเลยล่ะครับ "สุดยอดดดด"

เมื่อก่อนผมอยากไปเที่ยวเมืองนอกมากๆ อยากเห็นอะไรใหม่ๆ เช่น หอไอเฟลที่ปารีส แต่พอวันนี้กลับได้เจอวัดที่สวยงามมากๆ ที่เมืองไทยเรานี่เอง มันสวยจริงๆครับ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าประเทศเรานี่ล่ะสุดยอดมากๆ ต่อไปผมคงเที่ยวประเทศให้หมดซะก่อนเมืองนอกค่อยว่ากันหลังจากนั้น ที่สำคัญไม่ต้องใช้เงินไม่เยอะด้วย อิอิ

เราควรจะมองสิ่งที่ใกล้ๆก่อนที่จะไปมองสิ่งที่ไกลๆ ยังมีอะไรอีกมากให้เราได้พบเจอ สิ่งที่สุดยอดบางทีไม่ได้อยู่ไกลเสมอไป ว่างๆลองไปเที่ยวกันบ้างนะครับผม สุดยอดดดด

23 พฤษภาคม 2556

ทำงานแถบตาย สุดท้ายไม่พอแดรก


คำนี้น่าจะโดนใจใครหลายคน  =^_^=  ไม่ใช่แค่โดนใจซิ อาจจะกำลังเกิดขึ้นอยู่ก็ได้ อิอิ
สำหรับผม ไม่เคยเกิดขึ้นเลย อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยมีภาระอะไรเหมือนกับคนอื่นเขา(ต้องขอขอบคุณแม่ผม  =^_^= ) แต่ก็มีเมื่อก่อนตอนศึกษาอยู่ใช้เงินเยอะ จนเครียดอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำหรับบทความนี้  =^_^= 

ประเด็นที่ว่าทำงานแทบตาย สุดท้ายไม่พอแดรก
ผมจะลองแยกจากงานกับไม่พอแดรกออกดูก่อนนะครับ เพราะผมคิดว่ามันคนละเรื่องกัน ถ้าเอามาปนกันถ้าจะแก้ยากมากๆ เพราะมันคนละเรื่องกัน  =^_^=  (พูดไปวนไปอยู่นี้แหล่ะเรา) แต่มันก็ตามที่ผมบอกนั่นแหละ

พอแยกออกแล้วลองมาดูเรื่องการทำงานแถบตายก่อน
ประเด็นนี้ ผมคิดว่าน่าจะต้องลดเรื่องทำงานให้น้อยลงนะครับผม เพราะว่าดูท่าจะทำงานมากไปจนเกือบตายเป็นเรื่องเครียดมากนะครับ ลองจดงานหรือกิจกรรมที่ต้องทำลงกระดาษดู แล้วอะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปบ้าง อะไรที่พอจะลดได้ก็ลดบ้าง หรือไม่ลองผสมกันดู อาจได้สิ่งใหม่ที่ดีกว่าก็เป็นได้ อิอิ

เรื่องไม่พอแดรก
ประเด็นนี้น่าจะเกี่ยวกับเงิน ประมาณว่ามีเงินไม่พอใช้ เป็นอะไรที่เกิดขึ้นกับหลายคน จริงๆแล้วผมคิดว่าไม่ใช่เงินไม่พอใช้ แต่เป็นเพราะว่าสิ่งที่ใช้ไม่พอกับเงินมากกว่า =^_^=  แก้คล้ายๆกับประเด็นแรกนั่นแหละครับ จดบันทึกสิ่งที่ต้องใช้ลงในกระดาษ แล้วทำการวิเคราะห์ว่าอะไรสามารถลดได้บ้าง ตัดออกได้บ้าง ให้พอกับรายรับที่มี อย่าลืมใส่ค่าใช้จ่ายอื่นๆลงในบันทึกด้วยนะครับ เพราะว่าจะมีรายจ่ายค่าบวชเพื่อน แต่งเพื่อน แต่งแฟนเก่า =^_^= จัดให้พอดีนะครับ แค่นี้ก็น่าจะหมดปัญหาแล้วล่ะครับ

แต่ใครที่คิดว่าไอ้นี่ก็จำเป็น ไอ้นั่นก็จำเป็น ลองคิดให้ดีๆนะครับ แยกเรื่องจำเป็นให้ออก เราคิดไปเองหรือเปล่าว่าจำเป็น  สิ่งที่จำเป็นมีไม่กี่อย่างหรอกครับ

ผมลองคิดดูนะครับถ้ามันเป็นปัญหาระดับประเทศ ทำไมการศึกษาไม่เน้นสอนเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องหลักๆไปเลยนะจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขกัน แบบว่าวิชา การใช้เงินพอเพียง ถึงเราจะเรียนจบสูงๆมาก็เท่านั้นถ้าไม่มีวิชานี้ติดตัว =^_^=  แต่ถึงไม่จบสูงแต่มีวิชานี้ติดต่อ แม้ได้เงินเดือนน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป อิอิ

ขอให้ทุกคนมีสิ่งที่ใช้ให้พอกับเงินที่มีนะครับผม สวัสดีครับ

22 พฤษภาคม 2556

พี่มากพระโขนง


พี่มากพระโขนง เป็นหนังไทยที่ผมคิดว่า เนี่ยแหละ ใช่เลย  วงการหนังไทยกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว

ปกติผมจะไม่ค่อยนิยมดูหนังไทยสักเท่าไหร่ แต่ก็พอดูบ้าง เพราะว่าหนังไทยดูแล้วเสียความรู้สึก(ส่วนตัว  =^_^= ) ประมาณว่าไม่คุ้มกับเงินที่ไปดูเอาซะเลย แต่ก็หวังลึกๆว่าน่าจะมีสักวันที่หนังไทยต้องพัฒนาให้มีความมาตรฐานมากขึ้น น่าดู น่าสนใจมากขึ้น และแล้วก็มาจนได้ "พี่มากพระโขนง"

ทำให้หนังไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น เป็นหนังที่มีมุมมองที่แตกต่าง ใหม่ สด ไม่ซ้ำ ไม่น่าเบื่อ  =^_^= 

ผมถูกใจตรงช่วงท้ายของหนังที่ทำไมตายแล้วถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ทั้งๆที่นางนากอยู่กับพี่มากได้ตั้งนาน  =^_^=  แล้วหนังก็ทำแบบนั้นจริงๆ โคตรถูกใจเลย อารมณ์นั้นแบบว่า สุดยอดนี่มันหนังอย่างที่เราคิดเลย
เป็นอะไรที่สร้างสรรค์มากๆ ทำให้สิ่งที่บางคนคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ที่จริงมันไม่ใช่ทั้งหมด

หากลองคิดดู ปกติพูดถึงผีก็ต้องไปหลอกไปหักคอคนอื่น แต่ถ้าผีลบความเชื่อทั้งหมดออก ต่อไปผีก็คงไม่น่ากลัวอีกต่อไป ไม่เหงา ไม่เศร้า ไม่ทุกข์ใจ แบบว่ามีอะไรเหรอคุณผีมีอะไรปรึกษากันได้ครับ =^_^= 

และอีกหลายฉากที่น่าสนใจ คงต้องดูเอาเองอธิบายทั้งหมดคงจะยาว อิอิ

แค่บอกว่าอย่าทำอย่างนั้นนะมันไม่ดี ทำอย่างนี้ดีกว่า หากคุณเชื่อเรื่องพวกนี้โดยไม่มีเหตุผล แค่นั้นก็เชื่อแล้ว คุณจะปิดโอกาสหลายๆโอกาสที่เข้ามา ยิ่งฟังจากผู้ที่พูดอย่างเดียว พูดตามเขามาอีกทียิ่งไปกันใหญ่  =^_^= 

ตัวอย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นไม่อร่อยหรอกผมไปกินมาแล้ว(คุณคิดว่าไง ถ้าได้ยินแบบนี้)
ลองคิดง่ายๆ คุณบอกว่าไม่อร่อยมันสำหรับคุณอย่างเดียวหรือเปล่า บางทีอาจอร่อยสำหรับผมก็ได้ (ไป ไปกินดู อิอิ) ถ้าเกิดไปแล้วไม่อร่อยก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยเราก็ได้ลองแล้ว แต่ถ้าอร่อยขึ้นมาล่ะ ได้ร้านเพิ่มขึ้นมาอีกแว้ว ถ้าเชื่อเขาตั้งแต่แรกเราคงอดกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆแน่ๆ


อย่าให้ตำนาน หรือสิ่งที่พูดกันต่อๆมา ทำให้คุณคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้
ถ้าคิดแบบนั้นมันจะทำให้คุณปิดกั้นความเป็นจริง สิ่งใหม่ก็ไม่มีทางบังเกิด 

เจ้าของธุรกิจVSผู้บริหาร


ปกติทุกๆเช้าตอนไปทำงานผมจะขึ้นรถตู้ไปทำงาน ระหว่างนั่งในรถผมจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาฟังวิทยุคลื่น 102.5 เป็นคลื่นเพลงสากล แต่เมื่อเช้าผมได้ยินเขาพูดเรื่อง เจ้าของธุรกิจ กับ เป็นผู้บริหาร ใครอยากจะเป็นแบบไหนกันบ้าง

ผมก็ฟังผู้ที่โทรเข้ามาแต่ละคนก็มีความคิดแตกต่างกันไป บางคนทำธุรกิจอยู่แต่บอกว่าธุรกิจไม่ได้ บางคนทำธุรกิจอยู่แต่บอกว่าดีบ้าง คนที่อยากเป็นผู้บริหารก็มี

ผมก็ลองคิดดูว่าผมเลือกอันไหนดีหว่า ระหว่างเจ้าของธุรกิจ กับ ผู้บริหาร ไม่เอาเลือกไปก็ปวดหัว  =^_^=  ไม่เห็นจะต่างกันเท่าไหร่ เป็นผู้ประกอบการดีกว่าน่าจะต่างจากสองตัวเลือกนั้น เย้ๆๆ เลือกได้แล้วครับผม

ตามความจริงแล้วผมคิดว่าเป็นเรื่องของเงินมากกว่าเพราะคนที่โทรเข้ามาเห็นพูดแต่เรื่องเงิน แต่ถ้ามีเงินเข้ามาเกี่ยวรับรองปวดหัวแน่ๆ เพราะถ้าเอาเงินมาเป็นที่ตั้งผมคิดว่าชีวิตมีความสุขได้ยาก

ปัจจุบันคนส่วนมากเอาเงินมาปะปนกับความสุข คิดว่าได้เงินแล้วจะมีความสุข  =^_^= 

มั่วไปหมดแล้วชีวิต ถ้าคิดว่าเงินคือทุกอย่างคุณจะพลาดสิ่งดีๆไปหลายสิ่งหลายอย่างแน่นอน

พูดไปเรื่องมั่วประเด็นแล้วผม =^_^= 

สรุปก็คือ ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไรก็แล้วแต่ผมอยากให้เอาความชอบเป็นที่ตั้ง อย่าเอาเงินเป็นที่ตั้ง เพราะคุณไม่ได้อยากทำงานเพื่อมาเคลียดหรอกจริงไหม แต่ถ้าใครยังหาข้ออ้างว่าแบบนั้นเป็นไปไม่ได้ คุณก็จะอยู่แบบนั้นต่อไป ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ลองเปลี่ยนมุมมองดู อิอิ

เคยมั้ย รัก ห่วง แคร์ แต่ไม่ได้คืน


ไปอ่านเจอเลยเอามาฝาก สำหรับความรู้สึกที่แย่ นั้นเกิดจากตัวเราเอง เป็นเพราะว่าเราคาดหวังสิ่งที่จะได้รับกลับมา แต่กลับไม่ได้อย่างเราที่หวัง เราเลยรู้สึกแย่ (เศร้าจริงๆ =^_^= )

แบบว่าฉันรักคุณนะแต่ทำไมคุณไม่รักตอบฉันบ้างเลย เรารู้สึกแย่ทำไมคุณไม่สนใจฉัน เพราะหวังว่าเขาจะรักตอบกลับมาแต่บางทีความรักของคนเราไม่เหมือนกันมันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรือแบบนี้ถึงจะเรียกว่ารัก  รักก็คือรัก ถ้าหากคุณอยากให้เขารักเรา คุณก็รักตัวเองก่อน ดูแลตัวเองแล้วเขาจะรักคุณ อย่าไปยึดติดกับผู้อื่น อยากได้อะไรก็เริ่มจากตัวเราก่อน ไม่เช่นนั้นปัญหาจะเกิดขึ้น(กำแว้ว งอนตูอีกแล้ว  =^_^= )

ลองมองกลับกันดูว่าความรู้สึกแย่นั้นไม่ได้เกิดจากคนอื่นกระทำให้คุณแย่ แต่คุณแย่เพราะผิดหวังกับสิ่งที่คุณหวังต่างหาก เพราะฉะนั้น หากรัก ห่วง แคร์ เขาจริงๆ เราไม่ควรหวังสิ่งใดๆตอบแทน แล้วคุณจะไม่รู้สึกแย่อีกต่อไป 

ภาพจาก  www.facebook.com/HotIssueThailand

21 พฤษภาคม 2556

คำพูดแสดงตัวตนของเรา

คำพูดของคุณที่ออกมาทั้งหมดมันคือสิ่งที่คุณเป็น จะสังเกตุเห็นได้จาก social network มากมายจะมีคนโพสต์ว่าคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง บ่นความรู้สึกบ้าง ระบายความในใจอะไรต่างๆนาๆให้คนอื่นได้อ่านกัน สิ่งเล่านั้นทั้งหมดก็คือตัวตนที่คนๆนั้นเป็นนั่นเอง

หากใครที่โดนว่า โดนด่า โดนตำหนิ โดยจากใครก็แล้วแต่ไม่ต้องไปคิดอะไรมากนะครับ คิดแค่สิ่งที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่า ถ้ามันจริงแล้วไม่ดีเราก็แค่ปรับปรุงตัว พัฒนาให้เราดีขึ้น(เสร็จเรา เทพขึ้นอีกแว้ว) ส่วนคำที่ทำให้เราฉุนเฉียวก็ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นได้เลย เพราะว่าคำพวกนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเราเลย

ส่วนคำพูดที่ผมบอกว่ามันบอกตัวตนของผู้ที่พูดออกมามันเป็นยังไงน่ะเหรอ
ผมคิดว่าไม่ว่าเราหรือใครพูดออกไปสักคำมันคือเราเองนั่นแหละครับ เหมือนเราพูดกับกระจกยังไงอย่างนั้นเลย มันก็จะท้อนเข้ามาหาเราอยู่ดี

ตัวอย่างเช่น ผมเกิดอาการกดดันแล้วทำให้ผมบ่นออกมาว่า เคลียดโว้ย แม่งเมื่อไหร่จะเลิกทำตัวอย่างนั้นอย่างนี้ว่ะ (ตัวอย่างนะครับ  =^_^= )
นั่นก็หมายความว่า เราเคลียดนะ แม่งเมื่อไหร่เราจะเลิกทำตัวอย่างนี้ซะทีวะ สาดดด =^_^= 

หรือผมอาจจะทำผิดมาแล้วกล่าวว่าโทษคนอื่นว่า ทำไมเขาทำงานไม่ดี ทำให้คนอื่นเกิดปัญหาไปหมด
นั่นก็หมายความว่า ทำไมเราไม่ทำงานให้ดีๆ มัวแต่โทษคนอื่น จนเกิดปัญหาไม่จบสิ้นสักทีเน้อ  =^_^= 

หรือโทษแฟน ประมาณว่าทำไมทำตัวมีปัญหาจังนะ ขี้วีนขี้เวี่ยงจัง น่ารำคาญจริงๆ
นั่นก็หมายความว่า ทำไมตูทำตัวมีปัญหาจัง ถึงทำให้เขารำคาญจนเวี่ยงเราเนี่ย อิอิ

เพราะฉะนั้นก็อย่างไปโกรธเคือง หรืออคติกับคนอื่นไปนะครับ อยู่แบบของเราปรับปรุงเราเอง เขาเพียงแค่โปรโมทตัวเอง ถ้าหวังดีกับเขาจริงๆก็อย่าไปคิดมากเลยครับ เข้าใจเขาเถอะครับ

ลองฝึกดูนะครับ มันจะทำให้เราคิดแต่สิ่งดีๆ ทำในสิ่งดีๆ เจอแต่ในสิ่งดีๆ ครับผม

ชีวิตใหม่


ไม่มีอะไรจะสดใส บริสุทธิ์เท่ากับชีวิตใหม่อีกแล้ว

การมีลูกผมก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเพราะผมยังไม่รู้ อิอิ แต่ผมว่าการเกิดเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้วครับ มีคนตัวเล็กๆที่ออกมากจากท้องผู้หญิง นอนในท้องตั้ง 9 เดือน เวลาตืนมาเขาคิดอะไรเป็นเรื่องแรกกันนะ

ผมว่าเขาไม่ได้คิดอะไรหรอกม้าง ออกมาใหม่ๆจะคิดอะไรได้ หรือว่าคิดได้หว่า แบบว่าพ่อตูอยู่ไหน หน้าตาเป็นยังไง เกรียนขนาดไหน หรือแม่หนูหน้าตาเป็นไงหนอ ผมว่าไม่น่าจะใช่  =^_^= 

แต่ถ้าดูในภาพผมคิดว่าหนูอยากหลับอย่ามายุ่งกะหนูมากกว่านะ หนูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น อย่าเอาความเกรียนมาใส่หนูเลย อิอิ จ้าๆๆ โทษทีครับผม

สิ่งที่เกิดมานี่เขาจะเป็นยังไงผมคิดว่า อยู่ที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเขามากกว่า ประมาณว่า เป็นคอมพิวเตอร์ว่างๆมีแต่ระบบปฏิบัติการ ยังไม่มีโปรแกรมอะไร ไม่มีไวรัส ส่วนโปรแกรมก็คงมาจากประสบการณ์ ตามแบบ ตามอย่าง จะเรียนรู้ได้ยังไงถ้าไม่มีต้นแบบ จริงไหมครับ ก็ไม่แปลกที่เวลาเกิดมานิสัยจะเหมือนกับคนที่อยู่ข้างๆหรือเลี้ยงดูเรามา

เอาล่ะถ้าอยากให้เขาเป็นแบบไหนก็ต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะให้เขาอยู่กับใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญก็คือเขาน่าจะมีพืันฐานของจิตใจของตัวเขาเองอยู่แล้ว

ท้ายนี้ขอให้เด็กทุกคนเป็นคนดีนะครับผม

บทเริ่มของบล็อก

บทเริ่มของเอกชัย

ผมเขียนบล็อกนี้ก็เพื่อเผยแพร่แนวคิด มุมมอง เรื่องส่วนตัว เรื่องที่ผมสนใจ อยากให้ผู้อ่านหรือผมอ่านแล้วสบายใจ =^_^= 

คำว่า สบายๆ กับสไตล์คิดบวก 
แบบว่า สบายๆ กับ สไตล์คิดบวก ผมก็ตั้งไปให้มันหมายความว่าเข้ามาแล้วอยากให้สบาย มีความสุข ประมาณนั้นครับ

เป็นมุมมองส่วนตัวของผมเอง ผมคิดว่าการอธิบายสิ่งที่ตัวเองคิดหรือเข้าใจออกไปก็เป็นการเรียนรู้ตัวเองไปในตัว ทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเข้าใจไปทุกอย่างบนโลกทั้งหมดมั้งครับ แค่ลองเรียนรู้ตัวเองผมคิดว่าน่าจะมีอะไรหลายๆสิ่งที่เราก็มองข้ามไป หรือบางสิ่งที่ยังค้นหาไม่เจอก็ได้ 

สุดท้าย หวังว่าผมหรือผู้อ่านที่หลงเข้ามา ถูกใจ สบายใจ ยิ้มๆ อันไหนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจนะครับ =^_^=