19 พฤศจิกายน 2556

วิธีใช้รถให้คุ้ม


พอดีเมื่อวานผมมองรถเยอะบนถนนแต่ละคันมีแต่ที่ว่างเลยคิดขึ้นมาว่านี่พวกเขาใช้รถกันไม่คุ้มกันเลย รถมีที่นั่งเหลือตั้งเยอะเกือบทุกคัน และวันหนึ่งมีรถวิ่งตลอดคิดดูวันหนึ่งน้ำมันจะต้องใช้เท่าไหร่ เงินที่หมดกับค่าน้ำมันทั้งหมดเท่าไหร่ แล้วพืันที่ว่างทั้งหมดที่ไม่ได้ใช้มีเท่าไหร่ คิดดูแล้วผมว่าไม่คุ้มเลยกับพืันที่ว่างไม่ได้ทำอะไรเลย คิดไปคิดมาเราจะทำอย่างไรกับพืันที่ว่างดีเน้อ

ตอนนั้นกำลังรอรถตู้อยู่ หลายคนก็รอรถอยู่ ก็เลยปริ้ง!!! ถ้าเราเอาคนพวกที่รอไปใส่ที่รถคันที่ว่างดูล่ะ แล้วก็ให้คนพวกนี้จ่ายเงินน้อยลง จากปกติจ่าย 30 ก็เหลือสัก 20 บาท ลดค่าใช้จ่ายและค้นที่ว่างก็ได้เงินคนละ 20 บาทลดค่าใช้จ่ายเหมือนกันเพราะว่าเอาเงินไปจ่ายค่าน้ำมันประหยัดทั้งสองฝ่ายเห็นๆ สุดยอด

แล้วก็คิดไปต่อว่า เอ.. แล้วจะเอาอะไรไปบอกว่าจะไปไหนยังไงกันนะ เพราะถ้าไม่งั้นคงเสียเวลากันแย่เลยกว่าจะถามกันรู้เรื่อง

นี่เลยเทคโนโลยีใช้กันให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แค่ส่งสัญญาไฟเข้าไปให้เข้าใจตรงกันตามนี้ 
เพราะว่าปกติเราก็จะรู้ระยะทางจากที่เราจะไปอยู่แล้วว่าเท่าไหร่ แค่เราเห็นสัญญาไฟคนขับก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องรับคนไหนไป ลดเวลาในการถามลงเพราะแบ่งเป็นระยะทางตามสัญญาที่เข้าใจแล้ว อิอิ



เอะ.. แล้วแบบนี้มันจะปลอดภัยเหรอ เทคโนโลยีไงครับ ปกติก็แชร์กันอยู่แล้ว ก่อนขึ้นไปก็ถ่ายรูปคนขับหรือรถด้วยแล้วแชร์ซะเลย แค่นี้ก็ปลอดภัยแล้วมีเรื่องคุยจนกว่าจะถึงบ้านอีกไม่ต้องกังวลรอนานเมื่อถนนเต็ม เผลอๆอาจจะได้เพื่อนใหม่ๆแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ Like กันยาวล่ะงานนี้

แค่นี้เราก็จะได้เพื่อนใหม่ ลดค่าใช้จ่าย ไม่ต้องรอรถให้แถวยาว(นาน) like กันยาว

โอเคก็เป็นไอเดียแนะนำกันไป แต่ที่สุดแล้วเรื่องจริงคือใช้รถไม่คุ้ม หรือคุณคิดว่าอย่างไรกันบ้างเอ่ย? อิอิ

11 พฤศจิกายน 2556

Katy Perry - Roar


Roar หมายถึง เสียงคำราม เนื้อหาเพลงที่ประมาณว่า หากใครทำอะไรฉันให้ล้ม ฉันก็จะลุกขึ้นมาอีก และเป็นผู้ชนะ เป็นผู้ที่เลือกชีวิตของตัวเองได้

เป็นเพลงที่ต้องใช้พลังเสียงในการร้อง(แต่ไม่ใช่แบบในวิดีโอผมนะ อิอิ)
ของผมเป็นแบบว่าหัดร้อง หัดเล่น พลังเสียงก็เลยไม่เต็ม แต่จะพัฒนาต่อไปล่ะกันนะครับถ้าหากใครสนใจและติดตามผม

มาพูดถึงเรื่องการเป็นผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย ไม่สามารถชนะผู้ชายได้ แต่ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้วเดี๋ยวนี้เขาไม่ได้วัดกันที่พลังกันแล้ว เขาวัดกันที่ความคิด ความรู้ การพูดจา ต่างๆ นาๆ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงดูแลตัวเองได้แล้ว ไม่ต้องพึ่งผู้ชาย

ส่วนตัวผม ผมคิดว่าผู้หญิงที่เป็นแฟนหรือภรรยา ไม่ได้มีหน้าที่เหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะครับ คืออะไรน่ะเหรอ ซักผ้า กวาดบ้าน งานต่างๆ ทุกๆอย่าง ลืมมันไปซะ ผมคิดว่าเรามาช่วยกันทำดีกว่า หรือไม่ก็แบ่งกันไปใครถนัดแบบไหนก็กว่ากันไป ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ให้คนใดคนหนึ่งทำคนเดียว และอะไรที่เป็นของเรา เราเป็นคนทำเอง เราก็ต้องจัดการด้วยตัวเอง นั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับยุคนี้ เพราะเราเท่าเทียมกัน ช่วยเหลือกันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดครับผม

Jessie J - Price Tag ft. B.o.B.



เป็นเพลงที่สนุก เนื้อหาก็ประมาณว่าทำไมต้องเครียดกับการหาเงิน ใช้ชีวิตลำบากกันทำไม เงินไม่ได้ทำให้คุณมีความสุขหรอก เรามาเล่น เต้นเรามาโยกกันดีกว่า 

ก็เป็นเพลงหนึ่งที่ผมชอบไม่บอกก็น่าจะรู้ 

เพลงนี้เป็นเพลงสร้างสรรค์ และหลายคนก็ชอบฟังมัน และถ้าทำตามได้ก็สุดยอดล่ะครับ

Turbo เทอร์โบ หอยทากจอมซิ่งสายฟ้า


หนังการ์ตูนมาอีกเรื่องแล้ว เรื่องนี้ขอบอกว่าเป็นหนังการ์ตูนจริงๆ เพราะเป็นเรื่องหอยทากแข่งกับรถแข่ง งงเลย แต่นี่ล่ะการ์ตูน ทุกสิ่งเป็นจริงได้ 

Turbo เทอร์โบ หอยทากจอมซิ่งสายฟ้า

เป็นเรื่องเกี่ยวกับหอยทากตัวหนึ่งที่มีความเร็วปานสายฟ้า เริ่มจากหอยทากตัวนี้ชอบการแข่งรถเป็นชีวิตจิตใจแต่เนื่องจากหอยทากเป็นสัตว์ที่ช้ามากๆ ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะไปแข่งกับรถจริงๆ และยังมีพวกหอยทากอื่นๆชอบหัวเราะเจ้าเทอร์โบเสมอ เพราะเทอร์โบชอบจิตนาการกับการใช้ชีวิตของเขาอยู่เสมอ เช่น จิตนาการว่ามะเขือเทศคือรถแข่ง หรือเป็นถ้วยรางวัล สนุกกับชีวิต และยังมีพี่ชายที่คอยเตือนเขาเสมอว่าเป็นไปไม่ได้เราเป็นหอยทากชีวิตเรากำหนดให้เดินช้า และแล้วเหตุการไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับเทอร์โบ เป็นยังไงไปดูต่อกันนะครับผม

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "เราอาจกำหนดสิ่งที่เราเป็นหรือเลือกเกิดไม่ได้ แต่เรากำหนดชีวิตเราได้" 

ถ้าหากเราคิดว่าพ่อแม่เป็นครูเราก็ต้องเป็นครูตามพ่อแม่ นั่นเป็นเรื่องที่ห่วยสิ้นดี ถ้าหากคุณไม่ชอบชีวิตครู ผมหมายถึงไม่ว่าเราจะเกิดมาแบบไหน คุณสามารถที่จะเป็นได้ทุกสิ่งที่คุณอยากเป็น หาสิ่งที่เราชอบแล้วทำมัน ชีวิตไม่ได้ยาวอย่างที่คุณคิด เลิกใช้ชีวิตที่จำเจ น่าเบื่อซะ นั่นไม่ใช่คุณหรอก สิ่งที่คุณเป็นหรือชอบต้องทำให้คุณมีความสุขทุกวันนั่นแหละคุณ หามันให้เจอ อย่าหยุดหาถ้ายังไม่เจอ อย่าให้เสียชาติเกิด ฝากไว้แค่นี้ล่ะกันนะครับผม สวัสดีครับ

 

7 พฤศจิกายน 2556

Kick Ass โคตรเกรียน


ภาพยนต์ Kick Assโคตรเกรียน

เรื่องนี้ผมว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แม้ว่าคนอื่นๆเขาจะบอกว่าธรรมดา แต่ขอบอกว่าเนื้อหานั้นใช้ได้เลยล่ะครับ

จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่อยากจะเป็นฮีโร่ช่วยเหลือผู้อื่น แต่ตัวเองไม่มีพลังใดๆ เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะใจมันรักเลยทำให้เขาซื้อชุดฮีโร่มาใส่แล้วออกตะเวรช่วยเหลือผู้คน ไม่ว่าจะช่วยเหลือแมว หมาหาย อะไรเล็กๆน้อยๆที่ตัวเองจะทำได้ แต่แล้วก็ได้มาพัวพันกับตัวร้ายของจริง และได้มาเจอกับเด็กหญิงซึ่งโตมาพร้อมกับความเป็นฮีโร่ของจริง ชีวิตของคนธรรมดาคนหนึ่งก็ได้เปลี่ยนไป

ยังไงก็ลองหาดูกันเอาเองนะครับผม
ที่ผมชอบเรื่องนี้ก็เพราะว่า การเป็นฮีโร่ไม่จำเป็นต้องมีพลังพิเศษ คนธรรมดาก็เป็นได้ ฮีโร่ที่เป็นคนธรรมดาผมว่าเจ๋งสุดๆ

คำคมในเรื่องนี้ก็คือ "ฮีโร่ คือคนที่สามารถรับมือกับความเจ็บแล้วเปลี่ยนให้เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้องนั่นเอง"

คุณก็เป็นฮีโร่ได้ โดยการเริ่มจากใจ สวัสดีครับ

6 พฤศจิกายน 2556

ทำดีคืออะไรเอ่ย



ทำดีคืออะไรเหรอ?

สำหรับผม การทำดีคือสิ่งที่ทำแล้วเรามีความสุข ทำแล้วรู้สึกดี ทำแล้วไม่เดือดร้อนคนอื่น แค่นี้

ที่ผมเขียนบทความนี้เพราะเห็นข้อความว่า เหนื่อยไหม...มีใครเห็นบ้างล่ะ ประมาณว่าเขาน่าจะทำเกี่ยวกับช่วยเหลือผู้ประสบภัย

ผู้โพสต์อาจจะไม่ได้ทำแต่เห็นใจ เลยรู้สึกว่าทำไมทำดีไม่มีใครเห็นนะ 

ไม่ว่าคุณจะเป็นใครทำอะไร มากจากไหน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำมันจะอยู่กับเราไม่ทางไดก็ทางหนึ่ง ใครทำคนนั้นก็ได้ไม่มีใครได้สิ่งที่ไม่ได้ทำหรอกครับ เพราะทุกอย่างต้องเท่าเทียมกัน 

ผมลองมานึกดูบางที คนที่ทำดีอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าการทำอยู่นั่นคือการทำดีที่แท้จริง หรือไม่ก็รู้สึกผิดหวังที่ไม่ได้รับอะไรตอบแทนสำหรับการทำดีนี้เลย 
ประมาณว่า ผมก็ช่วยเหลือไปตั้งมากมายแต่ไม่เห็นได้อะไรกลับมาเลย เอ่อ นั่นคงไม่ใช่ทำความดีอ่ะป่าวครับ เพราะเราทำเราก็ได้เลยนะครับ ความสุขไงครับ อิอิ

ทำดีคือการไม่หวังผลใดๆ ทำแค่อยากทำ ทำแล้วมีความสุขนะครับผม

ลองดูนะครับ โลกคุณจะสดใส ทุกวัน




29 ตุลาคม 2556

คุณเป็นคนแบบไหน ในการขึ้นรถตู้


วินัยการขึ้นรถตู้
คุณเป็นคนแบบไหนในการขึ้นรถตู้เอ่ย

  • มาก่อนเลือกได้
  • มาก่อนเข้าด้านในสุด
มาก่อนเลือกได้ จะนั่งตรงไหนก็ได้ เพราะฉันวิ่งมาก่อน เพื่อให้ได้เป็นคนที่มาก่อนจะได้เลือกที่นั่งก่อน เหอะๆ หากเลือกแบบนี้ไม่ผิด แต่บอกถึงว่าคุณคือคนที่เห็นแก่ตัว ลองนึกดีๆ ทำไมคุณถึงเลือกนั่งตรงไหนก็ได้ เพราะคุณเลือกให้ตัวเองสบายโดยไม่คิดถึงคนอื่นและยังทำให้ผู้ที่มาทีหลังไม่สะดวกอีกต่างหาก 

มาก่อนเข้าด้านในสุด เป็นวินัยที่ต้องกระทำ ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนด้วย มันบอกถึงอุปนิสัยว่าคุณเป็นผู้ที่เสียสละ ไม่นึกถึงประโยชน์ส่วนตน การทำสิ่งที่หลายคนยากจะทำ เป็นสิ่งที่ดีครับผม

เริ่มจากวินัยเล็กๆ แค่นี้ ต่อไปอนาคตรถในกรุงเทพโล่งแน่ๆครับผม

เพราะผมอยากให้สังคมเรามีความสุข ลดความเห็นแก่ตัว แล้วโลกคุณจะเปลี่ยนไป

28 กันยายน 2556

The Croods - Movie


การ์ตูนเรื่อง The croods

ผมชอบดูหนังการ์ตูนตรงที่เขามีเนื้อหาที่น่าสนใจ มีคติสอนใจ แนวทางการใช้ชีวิต จริงๆหนังทุกประเภทก็มีคติสอนใจกันทุกเรื่องนั่นแหละครับ

แต่วันนี้ผมยกเรื่อง The croods เป็นหนังแนวครอบครัว ยุคหิน ที่มีกันอยู่ 6 คน อาศัยอยู่แต่ในถ่ำ มีร่างกายแข็งแรง เป็นครอบครัวที่ขี้กลัวไม่ชอบสิ่งใหม่ๆ เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่ก็ดีอยู่แล้ว ถ่ำคือสิ่งที่เขาคิดว่าช่วยให้ครอบครัวเขาอยู่รอดได้ แต่มาวันหนึ่ง มีเด็กผู้ชายปรากฎตัวพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของครอบครัว เพราะโลกกำลังจะแตกทำให้ถ่ำที่อยู่อาศัยพังลงและจำเป็นต้องหาที่อยู่ใหม่ เด็กหนุ่มคนนี้ได้สอนวิธีการเรียนรู้ การอยู่รอด คือการไม่ หลบซ่อน ซึ่งแตกต่างจากผู้นำครอบครัวนี้คือการหลบซ่อนนั่นเอง พ่อซึ่งคิดว่าตัวเองมีหน้าที่ปกป้องให้ครอบครัวนี้ปลอดภัย ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ครอบครัวเขาปลอดภัย แต่เด็กชายคนนั้นสอนให้ครอบครัวนี้ดูแลตัวเอง มีความคิดเป็นของตัวเอง ตามหาความฝัน กล้าที่เผชิญหน้ากับสิ่งใหม่ๆ

สรุปก็คือ การหลบซ่อนไม่ใช่วิธีป้องกันในระยะยาว ไม่ควรกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้ แต่เราควรที่จะศึกษาในสิ่งที่เรากลัว หรือไม่รู้ นั่นคือการใช้ชีวิตที่อิสระนั่นเอง

ฝากไว้เท่านี้น่ะครับผม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าดูเรื่องหนึ่ง สนุก ตลก ลองดูนะครับผม สวัสดีครับ

23 กันยายน 2556

Just do it!


สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้องวันนี้จะมาทำเสนอ just do it!

เป็นความหมายที่ฟังดูง่ายๆ Just do it! ทำมันซิ ทำมันซะ ประมาณนี้ เป็นคำสั้นๆ แต่ใจความน่าสนใจมากๆ

ใช่แล้ว เราทุกคนเกิดมามีสิ่งที่อยากจะทำอยากจะเป็นกันทุกคน อยากเป็นดาราดัง เป็นนักร้อง นักการเมือง นักธุรกิจ ครู คนธรรมดา อยากไปเที่ยวนู้เที่ยวนี่ เยอะแยะมากมาย

แต่จะมีสักกี่คนที่ทำมันจริงๆล่ะ แน่นอนมีประมาณไม่เกิน 10% ของทั้งหมดที่ทำมันและคนใน 10% เนี่ยแหละที่รู้จักชีวิตจริงๆ มีความสุขในสิ่งที่อยากทำแต่มันก็เป็นปกติในโลกปัจจุบันที่มีแค่นั้น

แล้วคนอีก 90% ล่ะทำไมถึงทำไม่ได้
เพราะเขาคิดว่าเขาทำไม่ได้ยังไงล่ะ เพราะ 90% จะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก ใครจะไปมีเวลาแบบนั้น ใครจะมีเวลาไปทำแบบนี้

คนพวกนี้วิธีคิดเขาจะแตกต่างจาก 10% อย่างเห็นได้ชัด คือ เมื่อคนเราคิดว่าทำไม่ได้หรอก อย่าไปทำเลย อย่าไปฝันเลย แบบนี้คุณกำลังปิดทางเลือกทุกทางเลือกที่จะทำในสิ่งที่เราอยากทำ อยากจะเป็น

ตัวอย่างเช่น
คนใน 90% จะคิดว่าทำไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ ทางเลือกของเขาคือ 0
คนใน 10% เราทำได้อยู่แล้ว แล้วจะทำมันเลยล่ะ ทางเลือกของเขาจะมีมากมายไม่รู้จบ

เห็นไหมครับตัวอย่างง่ายๆของผู้ที่ ทำ และไม่ทำ
ไม่ว่าคุณอยากจะทำอะไรก็แล้วแต่ เที่ยวรอบโลก มีเงินร้อยล้าน มีบ้านสิบหลัง มีตึกสูงๆ อยากอยู่นอกโลก คุณทำได้ ไปทำมันเลยดิ

แต่ถ้าบอกทำไม่ได้เมื่อไหร่ทุกสิ่งทุกอย่างจะจบอยู่ตรงนั้น

ลองคิดนะครับว่าคุณอยากเป็นแบบไหน ทุกคนมีทางเลือก และทุกอย่างเป็นไปได้ "แค่ทำมันซะ"

27 สิงหาคม 2556

ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ กับ สามช่วงของความรัก

 

 พอดีผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ ไปเจอหนังสือ "ฝนกล้วยให้เป็นเข็ม" ของ นิ้วกลม ถูกใจเลยเอามากฝากครับผม

     ความทุกข์ที่เกิดขึ้นเมื่อเรารู้สึกดีๆ กับใครคนนั้นไม่ใช่ความรัก แต่เป็นความอยากได้เขาคนนั้นมาอยู่ใกล้ๆ เหมือนอยากได้กระเป๋า รองเท้าสวยๆ ที่ถูกใจเป็นแค่ "ความอยากได้" ไม่ใช่ "ความรัก"

     ความรักนั้นไม่จำเป็นต้องได้คนนั้นมาเป็นของเรา ไม่ต้องมีเขามาอยู่ข้างกายความรักเกิดขึ้นจากการทำความรู้จักจนเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น

     หาก "กระบวนการรัก" แบบนี้เกิดขึ้นจนครบวงจร รับรองว่าไม่มีความทุกข์
     ความทุกข์เกิดขึ้นทุกทีเมื่อแต่ละคนเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่ความรักนั้นต่างไป ความรักคือการลดความสำคัญของตัวเองลง และคิดถึงคนที่เรารักมากขึ้นรักจึงทำให้โลกกว้างใหญ่และขยายหัวใจเราให้กว้างขึ้น

     เมื่อคิดถึงความสุขของคนที่เรารัก เราก็จะคิดถึงความสุขของตัวเองน้อยลง เมื่อคิดถึงตัวเองน้อยลง เราก็ทุกข์น้อยลง เพราะความทุกข์ส่วนใหญ่ล้วนมาจากการที่อะไรๆ ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง

     ความรักทำให้รู้จักสละตัวตน รู้จักสุขเมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุข ทำให้ได้รู้ว่าความสุขไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่ตัวเรามีความสุขเท่านั้น

     รักจริงไม่ทุกข์ รักที่ทุกข์คือรักไม่จริง
     เพราะรักที่ทุกข์นั้นแปลว่ายังคิดถึงตัวฉันมากกว่าตัวเธอ
     การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักนั้นอาจทำให้เกิดทุกข์ แต่อย่างน้อยเราก็สุขที่เคยได้รักกัน และระหว่างทางของความรักเส้นนั้นก็มีสิ่งที่คุ้มค่ากับความทุกข์ เมื่อพลัดพราก สิ่งนั้นคือการที่เราได้รู้จัก "รัก"
     ถึงอย่างนั้น ความรักก็มีหลายระยะหลายช่วงเวลา

     ช่วงแรก ก็เหมือนรักลวงตา ทำอะไรให้กันก็ถูกใจไปเสียทุกอย่าง

     ช่วงกลาง เป็นช่วงพิสูจน์รัก เป็นช่วงทำความรู้จักและเรียนรู้ความแตกต่างหากใครผ่านช่วงนี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ช่วงท้ายๆ ของความรัก ช่วงทำความรู้จัก เรียนรู้ ยอมรับ และทำความเข้าใจจึงเป็นช่วงสำคัญ คนสองคนนั้นมากจากโลกคนละใบไม่มีใครคิดเหมือนกันไปซะทุกอย่าง หากทั้งสองฝ่ายอยากเรียนรู้โลกของกันและกัน แบ่งรับแบ่งสู้ รักก็จะงอกเงย โลกสองใบก็จะไหลรวมกัน แต่ถ้าทั้งสองฝ่ายเข้ากันไม่ได้ โลกทั้งสองแตกต่างเกินความพยายาม แผนการรักก็คงต้องพับเก็บไป

     ช่วงสุดท้าย เป็นช่วงชื่นชมกับดอกผลของต้นรัก เมื่อรู้จัก เข้าใจ ประคับประคองดูแลจนโลกสองใบไหลเข้าหากันจนกลายเป็นใบเดียวแล้ว ที่เหลือก็คือการดูแลซึ่งกันและกัน ช่วยให้กำลังใจกัน เมื่อได้อยู่อาศัยบนโลกใบเดียวกันมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง คนสองคนซึ่งเคยต่างก็เขยิบเข้าใกล้ กลายเป็นคนที่คล้ายกันมากขึ้น ถึงจะไม่เหมือนกันซะทีเดียว แต่ก็มีส่วนเกี่ยวกันอยู่เยอะ

อ่านแล้วเป็นยังไงกันบ้างครับ ผมคิดว่าผมอยู่ช่วงสุดท้าย(ไม่รู้คิดคนเดียวหรือเปล่า อิอิ)

คุณล่ะคิดว่าอยู่ช่วงไหนกันเอ่ย

ความรักทำให้รู้จักสละตัวตน รู้จักสุขเมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุข ทำให้ได้รู้ว่าความสุข ไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่ตัวเรามีความสุขเท่านั้น

9 สิงหาคม 2556

แบบนี้เลย เรียกว่าสุดยอด


ไปเจอที่เฟสบุกถูกใจมากๆ เลยเอามากฝาก

"Dobri Dobrev" อดีตทหารผ่านศึก อายุ 98 ปี
ผู้สูญเสียการได้ยินเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2

ทุกๆวัน เขาได้เดินเท้าจากหมู่บ้านของเข
เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร เข้ามาในเมือง
ด้วยรองเท้า เสื้อผ้าที่ตัดเย็บเอง
และใช้เวลาทั้งวัน เพื่อ "ขอทาน"

ต่อมา โบสถ์สำคัญที่สุดของเมือง
ค้นพบว่า ชายชราขอทานยากจนผู้นี้
เป็นผู้บริจาคเงินให้โบสถ์เพื่อซ่อมแซม และ
บริจาคเป็นค่าสาธารณุปโภค
ของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอีกด้วย
รวมเงินบริจาค มากกว่า 4 หมื่นยูโร

เงินที่เขาบริจาคนั้น ได้มาจากการขอทาน
ส่วนตัวเขานั้น ยังชีพอยู่ได้ด้วยเงินบำนาญ
ที่รัฐจ่ายให้ เดือนละ 80 ยูโรเท่านั้น..

ถ้าคุณคิดจะ "ให้" คุณไม่จำเป็นต้องร่ำรวยเสียก่อน
จึงจะให้ได้..
"ฐานะ" ไม่จำเป็นเลย ถ้าคุณคิดจะให้ผู้อื่น

ชายชราผู้นี้..คือ ผู้ร่ำรวย "ความสุข" ที่แท้จริง..

NatCha@ร้อย8-พัน9


อ่านแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับผมพอได้อ่านบทความนี้แล้วผมรู้สึกว่าพอจะรู้แล้วว่าชีวิตเกิดมาเพื่ออะไร และนี่คือไอดอลของผม บอกตามตรงชอบมากๆ 

ชีวิตจะต้องการอะไรมากมาย ไม่ยึดติด มีความสุขในสิ่งที่ทำ ทำในสิ่งที่ดี
สักวันหนึ่งผมต้องมีจิตใจแบบลุงเขาให้ได้ 

24 มิถุนายน 2556

จุดประกายความสำเร็จด้วย3เคล็ดลับเคารพตัวเอง

จากหน้งสือพิมพ์ M2F 24062013

การแสดงความเคารพไม่ว่าจะกับใครก็ตามล้วนเป็นสิ่งสำคัญของพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถขับเคลื่อนการทำงานให้ราบรื่นได้ แต่บ่อยครั้งที่ใครหลายๆ คนมักแสดงความเคารพต่อผู้อื่นมากจนเกินไป พอถึงคราวของตัวเองแล้วกลับใส่แง่คิดทางลบคิดแต่อดีตที่ผิดพลาดไป และไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของชีวิตของตนเองจะมีอะไรพิเศษเข้ามาใหม่ๆ หรือว่าประสบความสำเร็จในอาชีพการงานเหมือนกับคนอื่นๆ
         นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกและเรียกได้ว่าเป็นบาดแผลที่ฝังใจของเรามาตลอด เพราะเพียงสิ่งง่ายๆ ที่เรียกว่า การเคารพและศรัทธาในตัวเองนั้น กลับไม่มีใครกล้าคิดและลงมือทำ ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วการสร้างความเคารพในตนเองนั้นมีแต่ตัวคุณเท่านั้นที่จะทำได้
         จากบทความเรื่อง The 7 negotiable ของนักจิตวิทยาผู้คร่ำหวาดในสายอาชีพ ได้มอบคำแนะนำดีๆ 3 ข้อ เพื่อที่จะให้คนวัยทำงานแสนธรรมดาๆ ผู้ที่ไม่เคยหยิบยื่นแง่บวกให้กับชีวิตของตนเองไม่มีแนวทางใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตส่วนตัวและการทำงานให้มีความสุขมากกว่าเดิม

การเคารพตัวเองมีแต่ "คุณ" เท่านั้นที่จะทำมัน
       คำพูด แรงบันดาลใจ การกระทำ และความคิดเห็นที่เกิดจากตัวเองล้วนมีอิทธิพลต่อการแสดงออกทางทัศนคติและพฤติกรรมของเราทั้งสิ้น หากเรายอมปล่อยให้ความคิดในแง่ลบ ความกลัว เข้าครอบงำจิตใจตลอดเวลานั้นคนอื่นๆ จะสัมผัสได้ถึงความไม่มั่นใจ จนไม่กล้าที่จะให้คุณรับผิดชอบอะไรแทนเลย ดังนั้นการเคารพตัวเองมันต้องมากจากการควบคุมตนเอง ไม่ใช่ปล่อยให้คนอื่นมากควบคุม

รักตัวเองก่อนไปรักคนอื่น
       นับว่าเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากไม่รักหรือแม้แต่กระทั่งมีความภาคภูมิใจในตัวเองเล็กๆ คุณก็จะไม่รู้เลยว่าในชีวิตคุณต้องการความสุขด้านไหนบ้าง และหากยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ คุณจะไปรู้จักคนอื่นได้ดีขนาดไหน นักจิตวิทยาชี้ว่า ทุกๆ วันล้วนมีโอกาสใหม่ๆ ในหลายรูปแบบ มีทั้งความทุกข์ สุข ไร้ค่า และมีเกียรติ มีแต่ "คุณ" เท่านั้นที่จะเลือกจะใช้โอกาสเหล่านั้นอย่างไร

ให้เวลาดูแลตัวเอง
      ร่างกายของคุณไม่ใช่เครื่องจักรกลที่จะสามารถทำงานแบบไม่มีวันหยุดหรือว่าไม่มีจิตใจที่จะไม่เก็บเรื่องแย่ๆ มาคิด ดังนั้นการดูแลตัวเองด้วยการพักร้อน ออกกำลังกายหรือกระทั่งการสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายตั้งแต่หัวจรดเท้าก็นับเป็นเรื่องสำคัญ เพราะทันทีที่คุณปล่อยตัวให้โทรมเมื่อไร คนอื่นจะมองว่าทำไมชีวิตคุณมันแสนวุ่นวายจนไม่มีเวลาเติมเต็มสิ่งดีๆ ใส่ตัวเอง

เป็นบทความจากหนังสือพิมพ์ F2M ที่น่าอ่านมากๆครับ แล้วจะหามาฝากใหม่นะครับผม

20 มิถุนายน 2556

เครียด ทำงานไม่ตรงที่เรียนมา

เครียด ตั้งใจที่อยากจะทำงานแบบนี้กลับได้ทำงานแบบนั้น ทำไมเวลาเรียนจบมาต้องการทำงานแบบที่ตัวเองอยากทำแต่กลับไม่ได้ทำ เฮ้ย เซงเป็ด

ผมว่าเป็นปัญหาของผู้ที่เรียนจบใหม่แล้วต้องทำงานครั้งแรกเกือบทุกคนเลยทีเดียว เพราะตั้งใจจะทำงานให้ตรงกับสาขาวิชาที่เรียนมา แต่กลับมาผิดหวังเพราะต้องทำงานที่ตัวเองไม่อยากทำ

ความจริงคือเราสามารถเลือกที่จะทำงานตามที่เราต้องการทำได้ แต่ต้องมีความหนักแน่นพอไม่ไขว้เขว้กับเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่งาน แต่งานที่เราคิดก่อนเรียนจบนั้นบางทีมันก็ไม่ใช่ความคิดของเราจริงๆ อาจเป็นของเพื่อน พ่อ แม่ คนอื่นๆที่ไม่ใช่เราก็ได้

ประสบการณ์ จะบอกคุณเองว่าคุณชอบทำงานอะไร เมื่อเจอสิ่งที่ชอบ ทำแล้วสนุก คุณจะไม่ได้คิดว่าคุณกำลังทำงานอยู่เลย (อย่าเลิกค้นหานะครับผม)

สำหรับนักศึกษาที่จบใหม่ คุณมีทางเลือกที่จะทำงานแบบไหนก็ได้ แต่ปัญหามันจะมีอยู่ว่า ถ้าหากเราเอาเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวกับงานคุณย่อมเลือกเงินก่อนจริงไหมครับ นั่นแหละที่จะทำให้คุณได้งานที่ตัวเองไม่ชอบ คุณควรที่จะแยกเรื่องเงินออกจากงาน เลือกงานครั้งแรกให้เราเริ่มจากงานที่เราอยากทำก่อนจากนั้นค่อยดูว่าเราชอบไม่ชอบ ถูกใจไม่ถูกใจ ถ้าหากถูกใจ ชอบ ทำแล้วสนุกก็สบายไป แต่ถ้าหากคุณเลือกเงินมาก่อนมันก็จะเป็นปกติที่คุณจะได้งานที่ไม่สนุก ยิ่งเราเป็นนักศึกษาจบใหม่ยังไม่ต้องรีบร้อนรวยไปไหน เริ่มจากงานก่อนน่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญจากนั้นเงินมันจะตามมาทีหลังงานเอง

ส่วนผู้ที่จบนานแล้วแต่ยังทำงานแล้วไม่สบายใจ เครียด ก็ตัวใครตัวมันล่ะครับผม 5555 (ล้อเล่น) ผมจะเป็นกำลังใจให้ครับ จบนานแล้วก็ใช่ว่าจะหางานที่ตัวเองชอบทำไม่ได้ เพียงแค่เราไม่หยุดที่จะค้นหา ผมเชื่อว่าต้องเจอแน่ๆครับ อย่างเช่นลุงขายไก่ KFC ไง เขาก็เจอกับงานของเขาตอนแก่นู้น ไม่มีอะไรสายถ้ายังไม่ตายไปซะก่อน สู้ๆครับผม

งาน เงิน ไม่ใช่ทุกอย่าง อย่าไปเครียดมาก คนที่คุณรักและรักคุณสำคัญที่ซู้ดดดดดดด

19 มิถุนายน 2556

เที่ยว เขาสุกิม


เขาสุกิมเป็นวัดที่อยู่บนเขา มีป่าไม้หนาแน่น ดูเป็นธรรมชาติมากๆ สิ่งรอบๆมีแต่สีเขียว ดูแล้วรู้สึกสดชื่น ซึ่งในวัดจะมีทางขึ้นอยู่สองอย่าง 1. บรรได 2. รถลาก

พอขึ้นไปเราก็จะเจอเหมือนพิพิธภัณฑ์ ซึ่งจะมี แจกันเก่า หุ่นจำลอง ของเก่าเช่น เงินเก่า ของใช้สมัยเก่า มีพระเครื่อง พวกแจกันยักษ์น่าจะมาจากจีน

ซึ่งถ้าใครอยากที่จะไปสูดดมอากาศสดชื่น ก็ลองไปได้นะครับที่เขาสุกิม จังหวัดจันทบุรี ผมไปมาช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งมีผลไม้ขายเต็มไปหมด โดยเฉพาะเงาะ ทุเรียน มังคุด อร่อยหวาน สด

เป็นสถานที่ธรรมชาติ เหมาะที่ไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจได้เลยครับผม

6 มิถุนายน 2556

"ทำไมคนเราถึงล้ม" BATMAN BEGINS

แบทแมนบีกิน ผมว่าภาคนี้สนุกมากครับ ปกติที่เราเห็นมันจะออกการ์ตูนเกินไป ไม่ค่อยสมจริงเท่าไหร่ แต่ภาคนี้เราจะรู้สึกเหมือนใกล้ตัวเรา ทุกสิ่งสามารถเป็นจริงได้ อย่างเช่นรถธรรมดา สู้แบบธรรมดา มันได้ใจเลยครับ

แต่ที่ผมจะกล่าวถึงเรื่องนี้ก็คือ มีประโยคหนึ่งที่พ่อและคนรับใช้ของแมทแมนมักพูดกับเขาเสมอเมื่อเขาตกอยู่ใสถานการณ์ย่ำแย่ คือ "ทำไมคนเราถึงล้ม ก็เพื่อที่จะได้เรียนรู้การลุกขึ้นมา" 

คนเราทุกคนต้องเรียนรู้จากการล้มกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเมื่อเราเจออุปสรรค ปัญหาต่างๆนาๆ นั่นก็คือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้ มันไม่ใช่เรื่องที่แย่เสมอไป แต่มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราโตขึ้น เก่งขึ้นต่างหากครับ สู้ๆครับผม

3 มิถุนายน 2556

คุณเลือกได้


จากภาพด้านบนคุณเลือกจะเป็น ภาพซ้าย หรือ ภาพขวา

แน่นนอนคุณต้องเลือกทางขวาแน่ๆ ไม่มีอยากเลือกรูปทางด้านซ้าย ถ้าทุกคนเลือกภาพทางด้านขวากันหมดแล้ว ทำไมยังมีภาพทางด้านซ้ายปรากฎทุกแห่งหน หรือแม้กระทั่งตัวของเราเอง

ที่ผมบอกว่าทุกคนบนโลกนี้มีความเท่าเทียมกัน ก็คือ ทุกคนบนโลกที่กำลังทุกข์ สุข รวย จน และอีกหลายอย่างมากมาย ทุกคนเป็นแบบนั้นเพราะเกิดจากสิ่งที่เขาทำ

สงสัยใช่ไหมครับว่าใครอยากจะเลือกเป็นเหมือนภาพทางด้านซ้ายกันเน้อ ไม่ดีแล้วเป็นทำไม
ตัวอย่าง

คนจน ทำไมถึงได้เป็นคนจนน่ะเหรอครับ ก็เพราะเขาไม่รวยไง (ล้อเล่น) แต่เป็นเรื่องจริง ทำไมเขาไม่รวยก็เพราะเขาทำแบบคนรวย  เขาจะรวยได้อย่างไร หรือใครที่ยังไม่รวยลองคิดดูว่าตอนนี้เราสมควรจะรวยหรือ?

คนรวย ทำไมถึงรวย ก็เพราะเขาไม่จนไง (มุขเดิม) ผมคิดว่าคนรวยเขาก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นๆแน่ๆ ผมมั่นใจ ฉลาด และมีคุณสมบัติอีกหลายๆอย่าง ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน(เพราะผมก็ยังไม่รวย =^_^=) ถ้าใครอยากรวยคงต้องศึกษาเอาว่าคนรวยเขาเป็นกันอย่างไร

คนมีความสุข ก็เพราะว่าทำแต่สิ่งที่มีความสุข ไม่จมอยู่กับความทุกข์นานเกินไป ทำในสิ่งดีๆ คิดแต่สิ่งดีๆ

คนมีความทุกข์ ก็เพราะว่าทำแต่สิ่งที่มีความทุกข์ ชอบจมอยู่กับความทุกข์ คิดแต่สิ่งไม่ดี ทำแต่สิ่งไม่ดี ก็เลยมีความทุกข์ เอย

เอาล่ะครับใครอยากเป็นแบบไหนก็ทำแบบนั้นล่ะกันนะครับ เลือกที่จะรวยก็ต้องหาวิธีของคนรวย อยากที่จะมีความสุขก็ทำแต่สิ่งดีๆ

ไม่ว่าคุณเลือกจะเป็นอะไรก็ตาม ความพอใจคือคำตอบของความสุขของคุณเอง =^_^=

1 มิถุนายน 2556

อยากให้รถติดเหมือนศุกร์สิ้นเดือนทุกวัน


วันศุกร์สิ้นเดือน รถจะติดกว่าวันอื่นๆ ติดจากต้นทางถึงปลายทางเลย นั่งรอในรถกันสบายเลย =^_^=

แต่ทำไมผมถึงบอกว่าอยากให้รถคิดเหมือนวันศุกร์สิ้นเดือนทุกวันนะเหรอครับ ลองคิดกันซิครับว่าทำไมรถถึงติดตอนสิ้นเดือน..... 

ถั่วต้ม สิ้นเดือนคือวันเงินเดือนออกนั่นเอง ทำให้เราไม่ต้องกังวลว่าเงินจะหมด เย้ๆๆๆ หลังจากที่ทุกคนเก็บกด อึดอัด กับการกินมาม่ามาหลายมือ พอมันเก็บไว้เยอะๆ(ยิ่งคนที่เก็บมาตั้งแต่กลางเดือนด้วยแล้ว =^_^=) เมื่อถึงสิ้นเดือนเงินเดือนทุกคนออกก็เลยรีบออกจากที่ทำงานตรงเวลาแป๊ะๆ บางคนออกก่อนเวลาอีก(แบบว่าปกติ ออกจากที่ทำงานช้าเพราะกลัวเจ้านายจะดูไม่ดี =^_^= แต่สำหรับผมออกเร็วทุกวันอยู่แล้ว เพราะผมคิดว่าออกงานเวลาปกติมันเป็นเรื่องปกติ อ้าว ยาวแล้วเราออกนอกเรื่องจนได้ =^_^= เอาไว้บทความหน้าล่ะกันเรื่องเวลา เข้า-ออก งาน)

จากที่ปกติทุกคนจะออกจากที่ทำงานช้า แต่พอถึงสิ้นเดือนทุกคนจะรวมใจกันออกเร็ว โดยที่ไม่นัดหมาย เพราะมีเงินใช้แว้ววว ไปหาพิซซ่า บาบีคิว หมูกระทะ กินกันดีกว่า ก็เลยเป็นต้นเหตุให้วันสิ้นเดือนรถติดขนาดนี้

จะดีไหมถ้าคุณสามารถทำให้มีเงินใช้โดยไม่กังวลเรื่องสิ้นเดือน มีใช้ทุกวัน เมื่อไหร่ที่ทุกคนมีวิธีที่ทำให้มีเงินใช้โดยไม่คิดถึงสิ้นเดือนได้ เมื่อนั้น รถคงติดทุกวันจริงๆเป็นแน่ =^_^=

รีบหาวิธีที่ไม่ต้องกังวลกับเงินตอนสิ้นเดือนเร็วๆนะครับ เพราะมันจะดีกว่าหากคุณมีเงินใช้โดยรถไม่ติด ก่อนที่รถจะติดทุกวันนะครับผม

31 พฤษภาคม 2556

เจอแล้ว! ภาษาเดียวจบ


วันนี้ผมแวะไปกินข้าวในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เจอชาวต่างชาติกับคนไทยสามารถพูดกันรู้เรื่องได้ ด้วยภาษาที่ทุกคนก็รู้จัก นั่นก็คือ "ภาษามือ" แบบว่าสุดยอดดดดด

หากมีเวลาและมีที่เรียนผมจะหาเวลาไปเรียน เพราะผมสนใจภาษามือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ผมสงสัยมาตลอดว่าเขาคุยอะไรกันหว่า น่าสนุกดี ผมอยากจะคุยกับเขาบ้าง ถ้าคุยภาษามือได้โลกก็คงจะกว้างขึ้นอีกเป็นแน่

แต่ผมลองมาคิดว่าถ้าทุกคนเรียนภาษามือกันหมดแม้กระทั่งประเทศอื่นๆ พวกเราก็จะสามารถคุยกันรู้เรื่องและสามารถคุยกับผู้ที่คุยได้แต่ภาษามืออย่างเดียวได้อีกด้วย ได้ทั้งเพื่อนเพิ่ม และคุยกับประเทศอื่นรู้เรื่องอีกต่างหาก  =^_^=  

เอาล่ะครับต่อไปนี้ก็เพิ่มวิชาหลักเข้ามาใหม่ให้กับคนบนโลก บอกให้เรียนภาษามือให้หมด หมดปัญหาเรื่องของภาษาจะได้ไม่ต้องมาเถียงกันว่าใช้ภาษาฉันดีกว่า ภาษานี้ดีกว่า เอาให้เป็นภาษาหลักกันไปเลยผมว่าช่วยการสื่อสารได้มากแน่ๆ เดี๋ยวนี้คุยเห็นหน้ากันผ่านโทรศัพท์ได้แล้วด้วย สามารถใช้ตอนที่เราอยู่ไกลๆกันก็ได้ แบบว่าพูดกันไม่ถึงก็ใช้ภาษามือแทนเป็นประโยชน์สุดๆ เข้าไปในที่มีเสียงดังๆ คุยภาษามือกันเป็นไง  จ๊าบบบหลาย  =^_^=  

ต่อไปเราก็คงคุยกันสะดวกมากขึ้นนะครับผม  =^_^= 

29 พฤษภาคม 2556

ความฝันสูงสุดของคนทำงานทุกคน


จะดีไหมถ้าหากคุณทำงานในสิ่งที่ตัวเองรัก กับสถานที่ที่ตัวเองต้องการ

นี้คือความฝันสูงสุดของคนทำงานทุกคน ปัจจุบันผู้ที่ทำงานแต่ละคนต้องทำงานกับสถานที่อึดอัด ร้อน หนาว ต่างๆนาๆ ไม่สามารถเลือกสถานที่ที่ตัวเองชอบได้ สิ่งที่ทำให้คนเราทำงานได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ "จิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข" เราจะไม่รู้สึกเหนื่อยกับสิ่งที่ทำ เพราะฉะนั้นเราต้องเริ่มจากสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารัก เราต้องไม่ยึดติดกับสิ่งใดๆทั้งสิ้น แม้กระทั่งครอบครัว เพื่อน ญาติ ไอ้ตูบที่บ้าน หรือแม้สนามหญ้าหน้าบ้าน อิอิ

ถ้าหากคุณเป็นคนชอบบอกคนอื่นว่าผมทำงานก็เพื่อครอบครัว เพื่อสังคม อื่นๆอีกมากมาย หากเป็นอย่างนั้นคุณจะไม่มีความสุขกับงานเพราะคุณไม่ได้ทำเพื่อตัวคุณเอง เป็นความสุขชั่วคราว เดี๋ยวเดียวก็หายไป

มีคำถามใช่ไหมล่ะครับ "อ้าว แล้วอย่างนี้มันไม่เห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ ถ้าไม่ทำเพื่อคนที่เรารัก"
ถ้าคุณมีคำถามอย่างเช่นข้างบน คุณคงเข้าใจผิดมาตลอดเป็นแน่ =^_^= 

คนที่เรารัก เขาก็ต้องรักเรา เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความสุขเขาก็ต้องมีความสุข จะเป็นการเห็นแก่ตัวอย่างไรกัน
ถ้าเขาชอบที่เราทำงานที่ทำให้เราไม่มีความสุข นั่นแหละเขาเห็นแก่ตัว หรือถ้าเราทำงานเพื่อผู้อื่นที่ไม่ใช่ตัวเราเองนั้นก็เป็นการเห็นแก่ตัวเหมือนกัน เห็นแก่ตัวกับตัวเราเอง ขนาดเรายังทำให้ตัวเองมีความสุขไม่ได้ มันก็ยากที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขได้ เพราะเราไม่รู้ว่าความสุขเป็นอย่างไรนั่นเอง

ผมเชื่่อทุกสิ่งทุกอย่างหากเริ่มจากตัวเราเอง เป็นสิ่งที่ดี สร้างสรรค์ คนที่อยู่รอบข้างเราเขาต้องมีความสุขไปกับเราด้วยแน่ๆ ไม่มีใครที่เป็นคนดีทุกข์ใจเมื่อเห็นผู้อื่นมีความสุขหรอกจริงไหมครับ

ผมเชื่อว่าทุกคนต้องหางานที่ตัวเองทำงานแล้วมีความสุขได้ทุกคน สู้ๆครับผม

ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/BangtatenPolice

โปรดใช้วิจารณญาณในการใช้สื่อ


หากพูดถึงสื่อ ณ ปัจจุบัน มีผู้บริโภคสื่อมากขึ้นทุกวัน ปัจจัยเกิดจากการติดต่อสื่อสารปัจจุบันง่ายขึ้น เทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้คนหันมาสนใจเรื่องข่าวสาร เพราะฉะนั้นเราควรรู้จักการบริโภคข่าวสาร ใช้ข่าวสารให้เป็นประโยชน์ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะเป็นโทษมหันเลยทีเดียว

ส่วนมากเป็นเรื่องที่ดี จากเมื่อก่อนไม่ค่อยมีใครสนใจอ่านหนังสือ ตรงนี้อาจเป็นจุดที่ดีที่ทำให้ปลูกฝังเรื่องการอ่านได้ แต่เมื่อมีเรื่องดีก็ต้องมีเรื่องร้ายด้วยเสมอ

หากคุณเป็นผู้บริโภคตัวโยง คุณจะเห็นสื่อบางสื่อทำให้ข้อมูลบิดเบือนได้ หากคุณเจอสื่อที่ทำให้มีความแตกแยก สื่อที่เป็นบ่อนทำลาย คุณควรใช้วิจารณาญาณในการตัดสินใจ

หากคุณเจอสื่อประเภทนี้ควรทำอย่างไร

  1. ไม่ควรเข้าร่วมในสื่อนั้น เพราะสื่อนั้นทำมาเพื่อสร้างความแตกแยก
  2. วิเคราะห์ว่าสื่อนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร เราจะได้ให้คำปรึกษาแก่ผู้ไม่รู้หรือเข้าร่วมได้
  3. ไม่ควรเข้าไปให้ความคิดเห็นหรือวิจารกับผู้อื่น อาจทำให้เราหัวแตกได้ =^_^= 
หากคุณเข้าใจและบริโภคสื่อเป็น รู้ว่าสื่อนี้ดีหรือไม่ดี คุณก็จะอยู่อย่างมีความสุขแล้วครับผม

ขอบคุณภาพจาก https://www.facebook.com/BangtatenPolice

27 พฤษภาคม 2556

The Lazy Song - Bruno Mars


ผมฟังเพลงนี้ทีไรรู้สึกดีทุกที เป็นกำลังใจให้ได้ตลอด เป็นอะไรที่แนวมากๆ ลุงในมิวสิคนี้แกก็กวนดี  =^_^= 

ถ้าการปรินิพพานคือความว่างเปล่า มิวสิควิดีโอตัวนี้น่าจะใกล้เคียงนะ =^_^= 

ลองคิดดูว่าถ้าคนเราไม่คิดอะไรเลย ปล่อยวาง ไม่สนในอะไร สนุกและมีความสุขกับตัวเองโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ปล่อยทิ้งทุกอย่าง ทำอะไรไม่ต้องแคร์ใคร ไม่สนใจแม้กระทั่งลูก เพื่อนบ้าน และเด็ก เป็นอะไรที่สุดยอดแล้ว

ความรู้สึกแบบลุงแก ผมว่าเป็นตัวเอง ไม่มีอะไรที่สำคัญ ทุกอย่างไม่มีความหมาย อะไรจะเป็นยังไงใช้ยังไงสำคัญยังไงไม่สนใจ =^_^=  ไม่ต้องรู้จักอะไรทั้งนั้น ปล่อยไปให้หมด อยากทำอะไรก็ทำ(แต่ทำในสิ่งที่ถูกนะ)

หากคุณต้องการปรินิพพาน เรื่องที่คุณคิด ทำ ทุกอย่างไม่มีความหมายอะไรเลย

ทำได้สักครึ่งของลุงแกได้ก็สุดยอดแล้ววววววววว

กินอะไรดี?

เป็นปัญหาระดับประเทศก็ว่าได้ =^_^=  ส่วนมากเวลาพักเที่ยงเราต้องกินข้าว แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราจะกินอะไรกันดี เพราะว่ามันก็มีแต่เดิมๆ น่าเบื่อ จากนั้นจะมีคำตอบกลับมาว่า เออ แล้วเราจะกินอะไรกันดี เฮ้ย เองจะกินอะไร กว่าจะได้บทสรุปก็พักใหญ๋เอาการ และก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งไป

หรือบางคนบอก "อยากกินอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ว่ะ" ทีนี้ล่ะปัญหาเกิด ตูจะไปหาอะไรใหม่ๆ แปลกๆ ได้ที่ไหนได้อ่ะ แถวนี้มันก็มีแค่นี้แหละ สุดท้ายก็ไปกินร้านเดิม =^_^= 

แล้วถามว่าเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรล่ะ
อืม.................................. เอาอย่างนี้ล่ะกัน
คุณทำอย่างไรเวลาคุณเบื่องาน ก็ทำไปแบบนั้นแหละครับ =^_^= 

5 วิธีเคลียร์ตารางงานให้อยู่หมัด

ปกติเป็นประจำทุกวันตอนผมไปทำงาน ผมจะตื่นแต่เช้าไปเอาหนังสือพิมพ์ฟรีของ M2F (ของฟรี แถมฝึกให้เราเป็นคนตื่นเช้าด้วย 2in1 ชัดๆ) ผมชอบอ่าน working hours ของหนังสือพิมพ์นี้มากๆ ผมสะสมตัดเก็บไว้เฉพาะหน้านี้เอาไว้เลย
หากวันไหนไปสาย จุดที่รับทุกวันหมดก่อน ผมจะเดินวนไปรับจากจุดอื่นเพื่อให้ได้หนังสือผมให้ได้ สู้คร๊าบบบบ

working hours เป็นหัวข้อที่เขียนถึงคนรวยระดับโลก
หากเราต้องการเป็นแบบไหนให้ศึกษาจากบุคคลนั้น

5 วิธีเคลียร์ตารางงานให้อยู่หมัด ของเม็ก วิตแมน เจ้าแม่ไอที(จากหนังสือพิมพ์ M2F)

  1. ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด เม็ก เผยว่า จากประสบการณ์ทำงานทั้งในบริษัทเก่าและบริษัทใหม่ ทำให้เธอมองเห็นภาพว่าคนเรามีความถนัดที่แตกต่างกัน โดยอันดับแรกคือเราต้องพยายามมองภาพให้ออกว่าตัวเองเก่งทางด้านไหนเป็นพิเศษ และมีสิ่งไหนต้องปรับปรุงอีกบ้าง อีกทั้งการร่วมงานกับคนที่ถนัดในด้านที่แตกต่างออกไปก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเขาสามารถให้คำแนะนำได้ และผลของงานก็จะออกมาลงตัวมากที่สุด
  2. จดรายการสิ่งที่ต้องทำ ก่อนจะจรดปากกาลงปฏิทินให้เรียงลำดับก่อนว่ายังมีสิ่งไหนที่ตกค้างอีกบ้าง ลองทบทวนว่ามีเรื่องสำคัญอะไรที่ยังไม่ได้ทำ และอย่าปล่อยให้เรื่องสำคัญในอดีตมันผ่านไป เพราะเรื่องใหม่กำลังจะมาถึงในอนาคตอันใกล้นี้แล้ว การเขียนรายการจะช่วยกำหนดตารางชีวิตได้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ซึ่งหากทำเป็นนิสัยจะเป็นผลดีและย่นเวลาในการบริหารงานได้เยอะมาก
  3. อย่าจมปลักกับปัญหา เมื่อปัญหาเรื่องงานมาประดับหน้า และบางเรื่องก็ไม่ถนัดหรือว่าไม่มีความรู้ในส่วนนี้เลยอย่าปล่อยให้ปัญหามันค้างเติ่ง และคิดว่าตนเองเท่านั้จะเป็นผู้แก้ไข เพราะแทนที่จะเสียเวลาจมอยู่กับปัญหานานถึง 5 ชม. แต่ก็ควรปรับเปลี่ยนเป็นการให้ทุกคนในทีมระดมสมอง พร้อมกับหยิบยื่นงานให้กับคนที่มีความถนัดทำงานเสียดีกว่า
  4. จัดการประชุมให้อยู่หมัด ตารางงานปกติของคนในบริษัทก็คือ 9 โมงเช้าถึง 6 เย็นเท่านั้น เวลานี้เป็นเวลางานซึ่งทุกคนพร้อมทำงานและอยู่ในบริษัท เม็ก แนะว่าควรจัดการประชุมให้เสร็จสรรพทันเวลา อย่าให้เกิดการประชุมนอกเรื่องไปจากตัวงานเสียเปล่าๆ
  5. ชั่งใจว่าสิ่งใดถูกและผิด ในการบริหารงานมักเกิดคำถามบ่อยมากว่า อะไรคือสิ่งที่เราต้องการวัดค่าความสำคัญมากที่สุด เช่น ความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อบริษัท การเปิดตัวสินค้าที่ตรงเวลา หรือเรื่องค่าใช้จ่ายทางด้านส่วนของซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์โดยการเรียงลำดับและวัดความสำคัญของเรื่องจะทำให้ผู้บริหารมองแผนที่บอกทิศทางบริษัทว่าต้องเดินไปทางไหน

โรงเรียนของผม ความคิดของใคร


ตั้งแต่เด็กจนเรียนจบการศึกษา ผมสงสัยมาตลอดว่าเรียนหนังสือทำไม เรียนแล้วได้อะไร น่าเบื่อ ไปเพราะมีเพื่อน ไปเล่นกับเพื่อนที่โรงเรียน =^_^=  ส่วนเรื่องเรียนผมนะเหรอไม่ต้องพูดถึงกากมาก  เวลาตอบคำถามครูผิดก็โดนตี ใครอยากจะโดนตีให้เจ็บ เรียนเพื่อให้โดนตีน่ะเหรอ แถมให้ทำไม้เรียวไปให้อีกครูตีอีก เพราะว่าไม้เรียวพังบ่อย ตีเด็กบ่อยประมาณนั้น
แต่ผมก็เรียนเพราะทุกคนเขาเรียนกัน และผู้ปกครองก็บอกเสมอว่าเรียนให้สูงๆ แล้วจะได้ดี(ได้ดีมันเป็นยังไงหว่า ได้เงินเดือนเยอะๆ เงินเยอะหมายถึงดีเหรอ =^_^= ) เริ่มเอาความคิดมาใส่หัวเรา จนเหมือนว่าเราต้องเป็นแบบนั้น แบบนี้นะไม่อย่างนั้นผิด) ผมจะมีปัญหากับคนอื่นๆเสมอเรื่องความคิด

จากภาพด้านบนผมว่าหมายถึงกรอบความคิด เมื่อเราเป็นเด็กเรามีไอเดียที่สร้างสรรค์ มีจิตนาการ เปิดรับพร้อมเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง สนุกกับสิ่งต่างๆ แต่พอเข้าโรงเรียน กรอบความคิดโดนใส่กรอบ จิตนาการเปลี่ยนไป ไอเดียสร้างสรรค์หายไป คล้ายๆกับผู้ใหญ่ที่ชอบเอาความคิดมาใส่จนความจริงถูกบิดเบือน สิ่งสร้างสรรค์หายไป

สำหรับผมตอนนี้จะให้โทษผู้ใหญ่ ครู ผู้ปกครอง หรืออะไรไปก็เท่านั้น อนาคตก็ไม่อาจเปลี่ยนได้ เราต้องเปลี่ยนจากตัวเราเองเท่านั้น เริ่มจากเรา เริ่มจากคนสมัยใหม่ นี่คือสิ่งที่เป็นจริง ใครจะไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์ที่สร้างต่อๆกันมาได้ นอกจากจะสร้างขึ้นมาใหม่เท่านั้น

คุณล่ะกรอบความคิดเป็นแบบไหน?

ภาพจาก https://www.facebook.com/kamonchanok.parnjai

25 พฤษภาคม 2556

สุดยอด วันอรุณ

วันนี้ผมได้ไปเที่ยวที่วัดอรุณชื่อเต็ม วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร เรียกยากจริงแฮะ =^_^=  ผมไปเพราะว่าเป็นวันเกิดแฟนผมเอง พอดีเราตกลงกันว่าจะไปวัดไปไหว้พระในวันเกิด ซึ่งตอนแรกตั้งใจไปวัดระฆังชื่อเต็มว่า วัดระฆังโฆสิตาราม แต่หลังจากไหว้พระที่วัดระฆังเสร็จ เดินไปที่ท่าเรือของวัดจะมีการให้อาหารปลา ปล่อยสัตย์น้ำต่างๆมากมาย ตรงบริเวรท่าน้ำก็จะมีการให้บริการเรือไปวัดอื่นด้วย เราจึงตัดสินใจไปวันอื่นต่อ ซึ่งวัดที่เราจะไปต่อก็คือวัดอรุณนั่นเอง

เรานั่งเรือจากวัดระฆังใช้เวลาไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงวัดอรุณแล้วครับ พอเห็นวัดอรุณซึ่งเป็นครั้งแรกของผมเลยก็ว่าได้ แบบว่ามันสุดยอดดดดด เป็นสิ่งก่อสร้างที่สวยมาก สุดจะบรรยาย พอเรือจอดเทียบท่าที่วัดอรุณเราก็รีบเข้าไปถ่ายรูป มีชาวต่างประเทศมาเที่ยวมากมาย มีชุดไทยต่างๆให้ใส่ถ่ายรูป(แต่เราไม่ได้ใช้บริการหรอก  =^_^= ) มีรูปปั้นยักษ์ ตัวใหญ่ และสถาปัตยกรรมอีกมากมาย แต่ที่เด่นๆคือ พระพุทธปรางค์ ซึ่งหากมองไกลๆจะเด่นสุด =^_^=  (เอาง่ายๆอย่างนี้แหละ) ซึ่งมีบรรได 2 ขั้น ไม่นับจากฐาน หากขึ้นไปถึงขั้นสุดท้ายซึ่งบรรไดชันมากๆ แต่ข้างบนสวยมากกว่า คุณจะรู้สึกแบบผมเลยล่ะครับ "สุดยอดดดด"

เมื่อก่อนผมอยากไปเที่ยวเมืองนอกมากๆ อยากเห็นอะไรใหม่ๆ เช่น หอไอเฟลที่ปารีส แต่พอวันนี้กลับได้เจอวัดที่สวยงามมากๆ ที่เมืองไทยเรานี่เอง มันสวยจริงๆครับ ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าประเทศเรานี่ล่ะสุดยอดมากๆ ต่อไปผมคงเที่ยวประเทศให้หมดซะก่อนเมืองนอกค่อยว่ากันหลังจากนั้น ที่สำคัญไม่ต้องใช้เงินไม่เยอะด้วย อิอิ

เราควรจะมองสิ่งที่ใกล้ๆก่อนที่จะไปมองสิ่งที่ไกลๆ ยังมีอะไรอีกมากให้เราได้พบเจอ สิ่งที่สุดยอดบางทีไม่ได้อยู่ไกลเสมอไป ว่างๆลองไปเที่ยวกันบ้างนะครับผม สุดยอดดดด

23 พฤษภาคม 2556

ทำงานแถบตาย สุดท้ายไม่พอแดรก


คำนี้น่าจะโดนใจใครหลายคน  =^_^=  ไม่ใช่แค่โดนใจซิ อาจจะกำลังเกิดขึ้นอยู่ก็ได้ อิอิ
สำหรับผม ไม่เคยเกิดขึ้นเลย อาจเป็นเพราะผมไม่ค่อยมีภาระอะไรเหมือนกับคนอื่นเขา(ต้องขอขอบคุณแม่ผม  =^_^= ) แต่ก็มีเมื่อก่อนตอนศึกษาอยู่ใช้เงินเยอะ จนเครียดอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ใช่ประเด็นสำหรับบทความนี้  =^_^= 

ประเด็นที่ว่าทำงานแทบตาย สุดท้ายไม่พอแดรก
ผมจะลองแยกจากงานกับไม่พอแดรกออกดูก่อนนะครับ เพราะผมคิดว่ามันคนละเรื่องกัน ถ้าเอามาปนกันถ้าจะแก้ยากมากๆ เพราะมันคนละเรื่องกัน  =^_^=  (พูดไปวนไปอยู่นี้แหล่ะเรา) แต่มันก็ตามที่ผมบอกนั่นแหละ

พอแยกออกแล้วลองมาดูเรื่องการทำงานแถบตายก่อน
ประเด็นนี้ ผมคิดว่าน่าจะต้องลดเรื่องทำงานให้น้อยลงนะครับผม เพราะว่าดูท่าจะทำงานมากไปจนเกือบตายเป็นเรื่องเครียดมากนะครับ ลองจดงานหรือกิจกรรมที่ต้องทำลงกระดาษดู แล้วอะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปบ้าง อะไรที่พอจะลดได้ก็ลดบ้าง หรือไม่ลองผสมกันดู อาจได้สิ่งใหม่ที่ดีกว่าก็เป็นได้ อิอิ

เรื่องไม่พอแดรก
ประเด็นนี้น่าจะเกี่ยวกับเงิน ประมาณว่ามีเงินไม่พอใช้ เป็นอะไรที่เกิดขึ้นกับหลายคน จริงๆแล้วผมคิดว่าไม่ใช่เงินไม่พอใช้ แต่เป็นเพราะว่าสิ่งที่ใช้ไม่พอกับเงินมากกว่า =^_^=  แก้คล้ายๆกับประเด็นแรกนั่นแหละครับ จดบันทึกสิ่งที่ต้องใช้ลงในกระดาษ แล้วทำการวิเคราะห์ว่าอะไรสามารถลดได้บ้าง ตัดออกได้บ้าง ให้พอกับรายรับที่มี อย่าลืมใส่ค่าใช้จ่ายอื่นๆลงในบันทึกด้วยนะครับ เพราะว่าจะมีรายจ่ายค่าบวชเพื่อน แต่งเพื่อน แต่งแฟนเก่า =^_^= จัดให้พอดีนะครับ แค่นี้ก็น่าจะหมดปัญหาแล้วล่ะครับ

แต่ใครที่คิดว่าไอ้นี่ก็จำเป็น ไอ้นั่นก็จำเป็น ลองคิดให้ดีๆนะครับ แยกเรื่องจำเป็นให้ออก เราคิดไปเองหรือเปล่าว่าจำเป็น  สิ่งที่จำเป็นมีไม่กี่อย่างหรอกครับ

ผมลองคิดดูนะครับถ้ามันเป็นปัญหาระดับประเทศ ทำไมการศึกษาไม่เน้นสอนเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องหลักๆไปเลยนะจะได้ใช้ชีวิตที่มีความสุขกัน แบบว่าวิชา การใช้เงินพอเพียง ถึงเราจะเรียนจบสูงๆมาก็เท่านั้นถ้าไม่มีวิชานี้ติดตัว =^_^=  แต่ถึงไม่จบสูงแต่มีวิชานี้ติดต่อ แม้ได้เงินเดือนน้อยก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป อิอิ

ขอให้ทุกคนมีสิ่งที่ใช้ให้พอกับเงินที่มีนะครับผม สวัสดีครับ

22 พฤษภาคม 2556

พี่มากพระโขนง


พี่มากพระโขนง เป็นหนังไทยที่ผมคิดว่า เนี่ยแหละ ใช่เลย  วงการหนังไทยกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว

ปกติผมจะไม่ค่อยนิยมดูหนังไทยสักเท่าไหร่ แต่ก็พอดูบ้าง เพราะว่าหนังไทยดูแล้วเสียความรู้สึก(ส่วนตัว  =^_^= ) ประมาณว่าไม่คุ้มกับเงินที่ไปดูเอาซะเลย แต่ก็หวังลึกๆว่าน่าจะมีสักวันที่หนังไทยต้องพัฒนาให้มีความมาตรฐานมากขึ้น น่าดู น่าสนใจมากขึ้น และแล้วก็มาจนได้ "พี่มากพระโขนง"

ทำให้หนังไทยมีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้น เป็นหนังที่มีมุมมองที่แตกต่าง ใหม่ สด ไม่ซ้ำ ไม่น่าเบื่อ  =^_^= 

ผมถูกใจตรงช่วงท้ายของหนังที่ทำไมตายแล้วถึงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ทั้งๆที่นางนากอยู่กับพี่มากได้ตั้งนาน  =^_^=  แล้วหนังก็ทำแบบนั้นจริงๆ โคตรถูกใจเลย อารมณ์นั้นแบบว่า สุดยอดนี่มันหนังอย่างที่เราคิดเลย
เป็นอะไรที่สร้างสรรค์มากๆ ทำให้สิ่งที่บางคนคิดว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนี้ แต่ที่จริงมันไม่ใช่ทั้งหมด

หากลองคิดดู ปกติพูดถึงผีก็ต้องไปหลอกไปหักคอคนอื่น แต่ถ้าผีลบความเชื่อทั้งหมดออก ต่อไปผีก็คงไม่น่ากลัวอีกต่อไป ไม่เหงา ไม่เศร้า ไม่ทุกข์ใจ แบบว่ามีอะไรเหรอคุณผีมีอะไรปรึกษากันได้ครับ =^_^= 

และอีกหลายฉากที่น่าสนใจ คงต้องดูเอาเองอธิบายทั้งหมดคงจะยาว อิอิ

แค่บอกว่าอย่าทำอย่างนั้นนะมันไม่ดี ทำอย่างนี้ดีกว่า หากคุณเชื่อเรื่องพวกนี้โดยไม่มีเหตุผล แค่นั้นก็เชื่อแล้ว คุณจะปิดโอกาสหลายๆโอกาสที่เข้ามา ยิ่งฟังจากผู้ที่พูดอย่างเดียว พูดตามเขามาอีกทียิ่งไปกันใหญ่  =^_^= 

ตัวอย่างเช่น ก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นไม่อร่อยหรอกผมไปกินมาแล้ว(คุณคิดว่าไง ถ้าได้ยินแบบนี้)
ลองคิดง่ายๆ คุณบอกว่าไม่อร่อยมันสำหรับคุณอย่างเดียวหรือเปล่า บางทีอาจอร่อยสำหรับผมก็ได้ (ไป ไปกินดู อิอิ) ถ้าเกิดไปแล้วไม่อร่อยก็ไม่เป็นไรอย่างน้อยเราก็ได้ลองแล้ว แต่ถ้าอร่อยขึ้นมาล่ะ ได้ร้านเพิ่มขึ้นมาอีกแว้ว ถ้าเชื่อเขาตั้งแต่แรกเราคงอดกินก๋วยเตี๋ยวอร่อยๆแน่ๆ


อย่าให้ตำนาน หรือสิ่งที่พูดกันต่อๆมา ทำให้คุณคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้น ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นได้
ถ้าคิดแบบนั้นมันจะทำให้คุณปิดกั้นความเป็นจริง สิ่งใหม่ก็ไม่มีทางบังเกิด 

เจ้าของธุรกิจVSผู้บริหาร


ปกติทุกๆเช้าตอนไปทำงานผมจะขึ้นรถตู้ไปทำงาน ระหว่างนั่งในรถผมจะหยิบโทรศัพท์มือถือมาฟังวิทยุคลื่น 102.5 เป็นคลื่นเพลงสากล แต่เมื่อเช้าผมได้ยินเขาพูดเรื่อง เจ้าของธุรกิจ กับ เป็นผู้บริหาร ใครอยากจะเป็นแบบไหนกันบ้าง

ผมก็ฟังผู้ที่โทรเข้ามาแต่ละคนก็มีความคิดแตกต่างกันไป บางคนทำธุรกิจอยู่แต่บอกว่าธุรกิจไม่ได้ บางคนทำธุรกิจอยู่แต่บอกว่าดีบ้าง คนที่อยากเป็นผู้บริหารก็มี

ผมก็ลองคิดดูว่าผมเลือกอันไหนดีหว่า ระหว่างเจ้าของธุรกิจ กับ ผู้บริหาร ไม่เอาเลือกไปก็ปวดหัว  =^_^=  ไม่เห็นจะต่างกันเท่าไหร่ เป็นผู้ประกอบการดีกว่าน่าจะต่างจากสองตัวเลือกนั้น เย้ๆๆ เลือกได้แล้วครับผม

ตามความจริงแล้วผมคิดว่าเป็นเรื่องของเงินมากกว่าเพราะคนที่โทรเข้ามาเห็นพูดแต่เรื่องเงิน แต่ถ้ามีเงินเข้ามาเกี่ยวรับรองปวดหัวแน่ๆ เพราะถ้าเอาเงินมาเป็นที่ตั้งผมคิดว่าชีวิตมีความสุขได้ยาก

ปัจจุบันคนส่วนมากเอาเงินมาปะปนกับความสุข คิดว่าได้เงินแล้วจะมีความสุข  =^_^= 

มั่วไปหมดแล้วชีวิต ถ้าคิดว่าเงินคือทุกอย่างคุณจะพลาดสิ่งดีๆไปหลายสิ่งหลายอย่างแน่นอน

พูดไปเรื่องมั่วประเด็นแล้วผม =^_^= 

สรุปก็คือ ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไรก็แล้วแต่ผมอยากให้เอาความชอบเป็นที่ตั้ง อย่าเอาเงินเป็นที่ตั้ง เพราะคุณไม่ได้อยากทำงานเพื่อมาเคลียดหรอกจริงไหม แต่ถ้าใครยังหาข้ออ้างว่าแบบนั้นเป็นไปไม่ได้ คุณก็จะอยู่แบบนั้นต่อไป ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอกครับ ลองเปลี่ยนมุมมองดู อิอิ

เคยมั้ย รัก ห่วง แคร์ แต่ไม่ได้คืน


ไปอ่านเจอเลยเอามาฝาก สำหรับความรู้สึกที่แย่ นั้นเกิดจากตัวเราเอง เป็นเพราะว่าเราคาดหวังสิ่งที่จะได้รับกลับมา แต่กลับไม่ได้อย่างเราที่หวัง เราเลยรู้สึกแย่ (เศร้าจริงๆ =^_^= )

แบบว่าฉันรักคุณนะแต่ทำไมคุณไม่รักตอบฉันบ้างเลย เรารู้สึกแย่ทำไมคุณไม่สนใจฉัน เพราะหวังว่าเขาจะรักตอบกลับมาแต่บางทีความรักของคนเราไม่เหมือนกันมันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรือแบบนี้ถึงจะเรียกว่ารัก  รักก็คือรัก ถ้าหากคุณอยากให้เขารักเรา คุณก็รักตัวเองก่อน ดูแลตัวเองแล้วเขาจะรักคุณ อย่าไปยึดติดกับผู้อื่น อยากได้อะไรก็เริ่มจากตัวเราก่อน ไม่เช่นนั้นปัญหาจะเกิดขึ้น(กำแว้ว งอนตูอีกแล้ว  =^_^= )

ลองมองกลับกันดูว่าความรู้สึกแย่นั้นไม่ได้เกิดจากคนอื่นกระทำให้คุณแย่ แต่คุณแย่เพราะผิดหวังกับสิ่งที่คุณหวังต่างหาก เพราะฉะนั้น หากรัก ห่วง แคร์ เขาจริงๆ เราไม่ควรหวังสิ่งใดๆตอบแทน แล้วคุณจะไม่รู้สึกแย่อีกต่อไป 

ภาพจาก  www.facebook.com/HotIssueThailand

21 พฤษภาคม 2556

คำพูดแสดงตัวตนของเรา

คำพูดของคุณที่ออกมาทั้งหมดมันคือสิ่งที่คุณเป็น จะสังเกตุเห็นได้จาก social network มากมายจะมีคนโพสต์ว่าคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง บ่นความรู้สึกบ้าง ระบายความในใจอะไรต่างๆนาๆให้คนอื่นได้อ่านกัน สิ่งเล่านั้นทั้งหมดก็คือตัวตนที่คนๆนั้นเป็นนั่นเอง

หากใครที่โดนว่า โดนด่า โดนตำหนิ โดยจากใครก็แล้วแต่ไม่ต้องไปคิดอะไรมากนะครับ คิดแค่สิ่งที่เขาพูดมันจริงหรือเปล่า ถ้ามันจริงแล้วไม่ดีเราก็แค่ปรับปรุงตัว พัฒนาให้เราดีขึ้น(เสร็จเรา เทพขึ้นอีกแว้ว) ส่วนคำที่ทำให้เราฉุนเฉียวก็ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นได้เลย เพราะว่าคำพวกนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเราเลย

ส่วนคำพูดที่ผมบอกว่ามันบอกตัวตนของผู้ที่พูดออกมามันเป็นยังไงน่ะเหรอ
ผมคิดว่าไม่ว่าเราหรือใครพูดออกไปสักคำมันคือเราเองนั่นแหละครับ เหมือนเราพูดกับกระจกยังไงอย่างนั้นเลย มันก็จะท้อนเข้ามาหาเราอยู่ดี

ตัวอย่างเช่น ผมเกิดอาการกดดันแล้วทำให้ผมบ่นออกมาว่า เคลียดโว้ย แม่งเมื่อไหร่จะเลิกทำตัวอย่างนั้นอย่างนี้ว่ะ (ตัวอย่างนะครับ  =^_^= )
นั่นก็หมายความว่า เราเคลียดนะ แม่งเมื่อไหร่เราจะเลิกทำตัวอย่างนี้ซะทีวะ สาดดด =^_^= 

หรือผมอาจจะทำผิดมาแล้วกล่าวว่าโทษคนอื่นว่า ทำไมเขาทำงานไม่ดี ทำให้คนอื่นเกิดปัญหาไปหมด
นั่นก็หมายความว่า ทำไมเราไม่ทำงานให้ดีๆ มัวแต่โทษคนอื่น จนเกิดปัญหาไม่จบสิ้นสักทีเน้อ  =^_^= 

หรือโทษแฟน ประมาณว่าทำไมทำตัวมีปัญหาจังนะ ขี้วีนขี้เวี่ยงจัง น่ารำคาญจริงๆ
นั่นก็หมายความว่า ทำไมตูทำตัวมีปัญหาจัง ถึงทำให้เขารำคาญจนเวี่ยงเราเนี่ย อิอิ

เพราะฉะนั้นก็อย่างไปโกรธเคือง หรืออคติกับคนอื่นไปนะครับ อยู่แบบของเราปรับปรุงเราเอง เขาเพียงแค่โปรโมทตัวเอง ถ้าหวังดีกับเขาจริงๆก็อย่าไปคิดมากเลยครับ เข้าใจเขาเถอะครับ

ลองฝึกดูนะครับ มันจะทำให้เราคิดแต่สิ่งดีๆ ทำในสิ่งดีๆ เจอแต่ในสิ่งดีๆ ครับผม

ชีวิตใหม่


ไม่มีอะไรจะสดใส บริสุทธิ์เท่ากับชีวิตใหม่อีกแล้ว

การมีลูกผมก็ไม่เคยรู้สึกแบบนั้นเพราะผมยังไม่รู้ อิอิ แต่ผมว่าการเกิดเป็นอะไรที่สุดยอดที่สุดแล้วครับ มีคนตัวเล็กๆที่ออกมากจากท้องผู้หญิง นอนในท้องตั้ง 9 เดือน เวลาตืนมาเขาคิดอะไรเป็นเรื่องแรกกันนะ

ผมว่าเขาไม่ได้คิดอะไรหรอกม้าง ออกมาใหม่ๆจะคิดอะไรได้ หรือว่าคิดได้หว่า แบบว่าพ่อตูอยู่ไหน หน้าตาเป็นยังไง เกรียนขนาดไหน หรือแม่หนูหน้าตาเป็นไงหนอ ผมว่าไม่น่าจะใช่  =^_^= 

แต่ถ้าดูในภาพผมคิดว่าหนูอยากหลับอย่ามายุ่งกะหนูมากกว่านะ หนูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น อย่าเอาความเกรียนมาใส่หนูเลย อิอิ จ้าๆๆ โทษทีครับผม

สิ่งที่เกิดมานี่เขาจะเป็นยังไงผมคิดว่า อยู่ที่สิ่งแวดล้อมรอบตัวเขามากกว่า ประมาณว่า เป็นคอมพิวเตอร์ว่างๆมีแต่ระบบปฏิบัติการ ยังไม่มีโปรแกรมอะไร ไม่มีไวรัส ส่วนโปรแกรมก็คงมาจากประสบการณ์ ตามแบบ ตามอย่าง จะเรียนรู้ได้ยังไงถ้าไม่มีต้นแบบ จริงไหมครับ ก็ไม่แปลกที่เวลาเกิดมานิสัยจะเหมือนกับคนที่อยู่ข้างๆหรือเลี้ยงดูเรามา

เอาล่ะถ้าอยากให้เขาเป็นแบบไหนก็ต้องเลือกแล้วล่ะว่าจะให้เขาอยู่กับใคร แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าสำคัญก็คือเขาน่าจะมีพืันฐานของจิตใจของตัวเขาเองอยู่แล้ว

ท้ายนี้ขอให้เด็กทุกคนเป็นคนดีนะครับผม

บทเริ่มของบล็อก

บทเริ่มของเอกชัย

ผมเขียนบล็อกนี้ก็เพื่อเผยแพร่แนวคิด มุมมอง เรื่องส่วนตัว เรื่องที่ผมสนใจ อยากให้ผู้อ่านหรือผมอ่านแล้วสบายใจ =^_^= 

คำว่า สบายๆ กับสไตล์คิดบวก 
แบบว่า สบายๆ กับ สไตล์คิดบวก ผมก็ตั้งไปให้มันหมายความว่าเข้ามาแล้วอยากให้สบาย มีความสุข ประมาณนั้นครับ

เป็นมุมมองส่วนตัวของผมเอง ผมคิดว่าการอธิบายสิ่งที่ตัวเองคิดหรือเข้าใจออกไปก็เป็นการเรียนรู้ตัวเองไปในตัว ทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเข้าใจไปทุกอย่างบนโลกทั้งหมดมั้งครับ แค่ลองเรียนรู้ตัวเองผมคิดว่าน่าจะมีอะไรหลายๆสิ่งที่เราก็มองข้ามไป หรือบางสิ่งที่ยังค้นหาไม่เจอก็ได้ 

สุดท้าย หวังว่าผมหรือผู้อ่านที่หลงเข้ามา ถูกใจ สบายใจ ยิ้มๆ อันไหนไม่เข้าใจก็ไม่เข้าใจนะครับ =^_^=